เรื่องที่ 7 นิสัยชอบเที่ยวกลางคืน
ในชนบทสมัยที่อาตมายังเป็นเด็ก
โอกาสที่จะดูหนัง ดูลิเกนั้นไม่ค่อยมีบ่อยนัก นานๆ จะได้ดูหนังกลางแปลงสักที
บางครั้งก็เป็นพวกหนังขายยา แต่เมื่อไรที่มีเทศกาลมีการฉายหนังเล่นลิเกติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน หรือ 7 วัน 7 คืน อาตมาเป็นต้องไปเที่ยวติดต่อกันครั้งละ 2-3 ซึ่งโยมพ่อ ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ห้าม ท่านใช้วิธีอย่างนี้ คือ
ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอม
ท่านก็จะปลุกตีสี่ครึ่ง ให้ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ โดยให้อ่านดัง ๆ ท่านจะนอนฟัง
ถ้าเห็นเงียบเสียงไปท่านก็จะตะโกนถามมาจากในมุ้ง
แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม
โยมพ่อจะปลุกอาตมาตั้งแต่ตี 4
ครึ่งเหมือนกัน ให้ช่วยโยมแม่หาบขนมไปส่งที่ตลาดกว่าจะกลับบ้านก็ประมาณ 6 โมงเช้ารุ่งอรุณพอดี ท่านก็ใช้ให้ไปขุดดินฟันหญ้าต่อ จนกระทั่งใกล้ 8
โมง จึงไปเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่แล้วค่อยกินข้าวเช้า
โดยทั่วไปคนที่ไปดูหนังกลางแปลง
จะกลับอย่างเร็วก็ร่วมสองยาม บางทีก็เกือบสว่าง ท่านก็ไม่ว่า แต่ต้องตื่นตั้งแต่ตี
4 ครึ่ง ทำงานในไร่ เที่ยวน่ะเที่ยวได้
แต่งานต้องไม่เสีย
ดังนั้น ถ้าวันไหนเที่ยวโต้รุ่ง
ก็ต้องออกไปทำไร่ต่อเลยบางทีถึงกับยืนหลับทั้งๆ ที่กำลังขุดดินอยู่ก็มี เป็นการฝึกให้เรารู้จักประมาณ
แก้นิสัยชอบเที่ยวดึกๆ ได้ชะงัดนัก
จากการที่ถูกโยมพ่อเคี่ยวเข็ญมามาก
เพราะฉะนั้นเมื่อโตขึ้นจึงทำงานอดหลับอดนอนเท่าไรก็ได้ ไม่กลัวงานหนัก
เป็นการฝึกความรับผิดชอบอย่างดีทีเดียว
เรื่องที่ 8 ฝึกลูกให้เห็นการณ์ไกล
ในขณะที่อาตมากำลังเรียนหนังสือ
อยู่ชั้น ป.4 โยมพ่อป่วยเป็นโรคระบบทางเดินอาหารอย่างแรง
เวลาปวดท้องแต่ละครั้ง นอนตัวงอน่าสงสารมาก ต้องรับประทานยาทุกวัน วันละหลายๆ
ครั้ง ท่านบอกลูกๆ ว่าเป็นโรคอย่างนี้จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้
เพราะเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา 3 วันดี 4
วันไข้ ถ้าพ่อตายในวันนี้ ลำพังแม่คนเดียวคงส่งเสียให้เรียนได้แค่ชั้น ม.6 แต่พ่ออยากให้ลูกเรียนจบถึงขั้นมหาวิทยาลัย โยมพ่อจึงสั่งอาตมาว่า
นับแต่นี้ต่อไป ทุกวันหยุด วันโกน
วันพระ อย่าไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ต้องรีบเตรียมตัวหาเงิน ให้อาตมาเพาะทั้งมะม่วง
ขนุน มะพร้าว พอเข้าหน้าฝน ท่านก็ขุดหลุมทิ้งไว้ให้ แล้วสอนให้ปลูกเอาเอง
และให้รดน้ำดูแลทุกวันโกน วันพระ (สมัยนั้น หยุดเรียน วันโกน วันพระ)
ครั้นพออยู่ ม.4-ม.5 มะม่วง ขนุน มะพร้าว
ก็เริ่มออกดอกออกผล โยมพ่อก็ยังแข็งแรงดีอยู่ โยมพ่อก็เก็บผลไม้ส่งขายจนลูกๆ
เรียนจบชั้นมัธยม ท่านก็ยังแข็งแรงและก็ได้อาศัยผลไม้ในสวนนี่แหละเป็นทุนส่งลูกๆ
เรียนจนจบมหาวิทยาลัย
แม้เมื่ออาตมาออกบวช
โยมพ่อโยมแม่ก็ไม่เดือดร้อน เพราะได้อาศัยรายได้จากผลไม้ ที่ท่านให้ลูกๆ ปลูกไว้
ทำให้อาตมาบวชได้ โดยไม่ต้องกังวล
นี่คือการฝึกให้ลูกรู้จักมองการณ์ไกล
รู้จักเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับเผชิญเหตุการณ์ในอนาคต
เรื่องที่ 9 เลิกความพยาบาทเพราะรักลูก
นิสัยพยาบาท อาฆาต จองเวรกันนั้น
เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ยากที่จะแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถูกคนเนรคุณทำร้ายยิ่งเลิกได้ยากนัก แต่ปรากฏว่าด้วยความรักลูก โยมพ่อก็สามารถทำได้
เรื่องมีอยู่ว่า
โยมพ่อเคยมีปัญหาเรื่องที่ดินกับเพื่อนบ้านจนถูกปองร้ายเอาชีวิต
โยมพ่อคิดจะแก้แค้นเป็นการตอบแทน แต่เมื่อคิดถึงลูก เกรงว่าลูกจะขาดที่พึ่ง
จึงตัดสินใจเลิกล้มความอาฆาต พยาบาท จองเวร โดยถือเสียว่า กรรมใดใครก่อน คนก่อก็รับกรรมไปเอง
เรื่องที่ 10 พ่อกับคู่ครองของลูก
โดยหลักธรรมตามประเพณีไทย
เมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีอายุพอสมควร พ่อแม่ก็จะมีส่วนในการจัดหาคู่ครองให้
สำหรับโยมพ่อนั้น
ท่านให้เกียรติลูกชายของท่านในการเลือกคู่ครองอย่างเต็มที่
แต่ท่านก็มีวิธีการตักเตือนแบบเฉียบขาดไม่เหมือนใคร คือ เมื่ออาตมาจบการศึกษาใหม่ๆ ก็คิดจะแต่งงานเหมือนคนอื่นๆ เขา เพราะได้หมายตาผู้หญิงคนหนึ่งไว้แล้ว แต่ความที่มีนิสัยเกรงกลัวโยมพ่อมาแต่เล็กๆ จึงได้พาว่าที่ลูกสะใภ้มาให้โยมแม่ดูก่อน โยมแม่ก็ชอบๆ อยู่
แต่โยมพ่อซึ่งเป็นคนละเอียดรอบคอบ ท่านสังเกตดูนิสัยใจคอของทั้งสองฝ่ายแล้ว
รู้สึกว่าจะไปด้วยกันไม่ได้แน่ แต่แทนที่ท่านจะห้ามตรงๆ ท่านกลับพูดให้คิดตาม
คือวันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว ท่านพูดว่า
“ลูกผู้ชายจะมีเมียสักคนน่ะไม่ยาก
แต่ที่ยากคือการหาแม่ดีๆ ให้ลูก เพราะแม่บางคนลูกยังไม่อยากเรียกว่าแม่
เพราะกลัวขายหน้า... ผู้หญิงก็เหมือนกันจะหาผัวสักคนไม่ยาก แต่ที่ยากคือ จะหาพ่อดีๆ ให้ลูกเจอทีไรก็มีแต่ขี้เหล้าเจ้าชู้ จะเป็นพ่อที่ดีได้อย่างไร”
แล้วท่านก็พูดย้ำอีกว่า “มีลูกน่ะไม่ยากแต่การเป็น พ่อแม่
ที่ดี ๆ น่ะซียาก” ท่านได้เตือนว่า จะแต่งงานแต่งการ
ให้ดูทั้งเขาทั้งเราให้ดีโดยเฉพาะตัวเรา ให้ถามตัวเองเสียก่อนว่า
“ถ้ามีเมียวันนี้ มีลูกวันนี้
จะมีธรรมะข้อไหนมาสอนเขาให้เป็นคนดี เพราะถ้าจะเอาแค่เลี้ยงลูกให้โตน่ะไม่ยาก
แต่เลี้ยงให้เป็นคนดีนี่ยาก เพราะฉะนั้น ให้ไปคิดดู ให้ดีๆ สัก 7 คืน ถ้าคิดว่า จะมีธรรมะดีๆ มาสอนเขาก็เอา
แต่ถ้าคิดว่ายังหาไม่ได้ก็อย่าเพิ่งแต่ง เรื่องนี้ให้ไปตัดสินใจเอาเอง
ไม่อย่างนั้น วันหลังจะมาหาว่าพ่อกีดกัน
อาตมานอนคิดอยู่คืนหนึ่ง
ก็ได้คำตอบว่า ไม่รู้จะเอาอะไรไปสอนเขา ก็เลยตัดสินใจเข้าวัดศึกษาธรรมะ
ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาไว้สอนลูกสอนเมีย แต่เมื่อมาพบหลวงพ่อธัมมชโย
และคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ก็ได้ท่านชี้ทางถูกให้
ได้ความเข้าใจพื้นฐานว่า
“ดื้อที่สุดในโลก
สอนยากที่สุดในโลกนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนที่แท้คือตัวเราเอง ทั้งที่รู้ว่าไม่ดี
ก็ยังขืนทำก็มี และยิ่งถ้าทำไปโดยไม่รู้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่”
ศึกษาไปศึกษามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อฝึกสมาธิมากเข้าๆ ก็เลยคิดบวชเสียเลย จากคำสอนต่างๆ เหล่านี้ของโยมพ่อเมื่อสอบสวนทวนความดูภายหลังก็ตระหนักว่า
ความแตกร้าวในสังคมทั้งหลายนั้น
เกิดขึ้นจากการที่ไม่ได้เตรียมตัวเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดี
ไม่ได้ตระเตรียมเป็นสามีภรรยาที่ดี เห็นว่าหล่อ ว่าสวย ว่ารวย มีรสนิยมเกะๆ กะๆ
พอไปกันได้ก็แต่งกันไป แต่งแล้วจะเป็นอย่างไรก็ไม่คิด จึงเกิดปัญหาตามมาอยู่เรื่อยๆ
เรื่องที่ 11 โอวาทเมื่อออกจากบ้าน
คนเราแม้จะมีความเฉลียวฉลาด
เพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นคนทำงานแบบขอไปที
ทำแบบพอผ่านลวกๆ ชาตินี้ก็ยากที่จะเอาดีได้
ดังนั้น พ่อแม่ ที่ฉลาดเห็นการณ์ไกล
จะฝึกลูกให้เป็นคนที่ถ้าทำอะไรแล้ว จะต้องทำให้ดีที่สุด
โยมพ่อของอาตมาก็มีลักษณะเช่นนี้
ตั้งแต่อาตมายังเล็กๆ งานที่ทำทุกอย่าง จะต้องเรียบร้อย
ทำอย่างดีไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษ โดยโยมพ่อจะคอยดูอย่างใกล้ชิด
เมื่อวันที่จะออกจากบ้านไปเรียนต่อชั้น
ม.7 – ม.8 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กรุงเทพมหานคร โยมพ่อก็ให้โอวาทสั้นๆ ตามประสาชาวบ้าน
ซึ่งก็ไม่เข้าใจหลักธรรมอะไรลึกซึ้งมีแต่ความจริงใจ ท่านพูดสั้นๆ ว่า
“เมื่อก่อนอยู่บ้านพ่อก็ตามดูทุกฝีก้าว
ผิดชอบ ชั่วดีอย่างไร ก็ว่ากล่าวตักเตือนเคี่ยวเข็ญกัน นี่จะไปเรียนกรุงเทพฯ
เจ้าต้องดูแลตัวเอง พ่อก็จะไม่พูดอะไรมากล่ะ แต่ขอฝากเอาไว้ว่า ถ้าจะทำอะไรแล้ว อย่าไปทำเหลาะแหละ
แต่จงทุ่มให้สุดตัว
พ่อเองก็ไม่รู้หรอกว่า นรก-สวรรค์มีจริง บาปบุญมีหรือไม่
ไม่กล้ายืนยันแต่ถ้าเจ้าคิดว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรก สวรรค์ไม่มี อยากจะไปเป็นโจร
พ่อก็ไม่ว่า แต่ว่าอย่าไปเป็นโจรกระจอกงอกง่อย ตีชิงวิ่งราวให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
ไหนๆ จะเป็นโจรทั้งที ก็ให้เป็นมหาโจรนามกระเดื่องไปเลย
ถ้าคิดว่าบาปมี บุญมี นรก-สวรรค์มี จะบวชก็เอา แต่ถ้าจะบวชก็อย่าคิดบวชไปวันๆ
บวชทั้งทีก็ให้เป็นสังฆราชไปเลย”
ตอนนั้นใจอาตมาเอง ก็ไม่คิดจะเป็นโจร
แล้วก็ไม่คิดจะบวชคิดแต่เพียงว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรถ้าไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือส่วนรวมแล้ว ก็จะไม่ทำแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร
ต่อมาเมื่อเรียนอยู่คณะเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ปีที่ 4
ได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ออสเตรเลีย จึงไปขออนุญาตโยมพ่อท่านถามว่า
“คิดดีแล้วหรือ
ทำไมไม่เรียนให้จบจากเมืองไทยเสียก่อน ถ้าไปแล้วเรียนไม่จบจะทำอย่างไร” อาตมาตอบท่านไปว่า
“ลูกพ่อทำอะไรต้องสำเร็จให้ได้
คิดดีแล้วว่าควรไป” ท่านก็ตอบว่า
“งั้นก็ไป”
วันขึ้นเครื่องบิน
ท่านก็มาส่งและยื่นกระดาษให้ แผ่นหนึ่งบอกให้ไปเปิดดูที่ออสเตรเลีย
เมื่อเปิดดูพบมีข้อความสั้นๆ ว่า
“ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา”
นั่นคือธรรมะจากโยมพ่อที่ฝากไปแดนไกล
อาตมาถูกโยมพ่อฝึกมาอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อบวชเป็นพระทำงานเผยแผ่พระศาสนา มาพบหลวงพ่อธัมมชโย คุณยายอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง ได้รู้เป้าหมายชีวิตว่า เกิดมาเพื่อสร้างความดี
ตามแบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงทำงานอย่างทุ่มสุดตัว ขอให้ทราบเถิดว่า
หลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ต้องการอะไร
อาตมาเป็นต้องทุ่มสุดตัวทำเต็มที่ ไม่ลังเลเพราะเชื่อตามคำสอนของโยมพ่อ
พระธรรมเทศนา...โดยหลวงพ่อทัตตชีโว
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก
ท้ายที่สุดนี้เรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ออกไปทำหน้ากัลยาณมิตรเชิญชวนชายแมนแมนผู้มีบุญมาบวช เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา และบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวในวาระวันคล้ายวันเกิด 21 ธค. 62 อายุครบ 79 ปี กันนะคะ
กำหนดการอุปสมบทหมู่ บูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโว
ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู
ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุค่ะ
พบกับพระธรรมเทศนาเรื่อง กว่าจะรู้ว่าพ่อรักตอนที่ 4 ต่อได้เลย
กราบขอบพระคุณ :
กราบแทบเท้าหลวงพ่อที่เคารพยิ่ง และขอกราบอนุโมทนาบุญต่อคำสอนดี ๆ ที่ถ่ายทอดสู่ลูก ๆ
ตอบลบกราบแทบเท้าหลวงพ่อผู้มีพระคุณต่อลูกๆและกราบอนุโมทนาบุญต่อโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเจ้าค่ะ สาธุค่ะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ