วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

กว่าจะรู้ว่าพ่อรัก...ตอนที่ 2



จากความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับโยมพ่อ ยังมีเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีก คือ


เรื่องที่ 1 รักษาโรคกลัวผี

เมื่ออาตมายังเล็ก ลุง ป้า น้า อา ทั้งหลายชอบเล่าเรื่องผีให้ฟังอยู่บ่อย ๆ จึงกลัวผีมาก ไม่กล้านอนคนเดียว เวลาค่ำมืด ไม่ยอมออกไปไหนเด็ดขาด แม้แต่เสียงแมวหง่าวร้อง ก็กลัวแทบขาดใจได้ยินเสียงหมาหอนทีไรนอนกอดแม่ตัวกลมทุกที หรือพอตุ๊กแกร้องก็ผวา

โยมพ่อมีวิธีแก้นิสัยขี้กลัวนี้อย่างไร

เวลากลางวัน โยมพ่อมักออกไปตัดกล้วยในไร่ ซึ่งมีหญ้ารกทึบแล้วกองสุม ๆ ไว้ ตอนกลางวัน ๆ ท่านก็ไม่ใช้ให้ไปขน กลับมาใช้ตอนโพล้เพล้ อาตมากลัวผีก็กลัว แต่กลัวพ่อมากกว่า เลยไม่กล้าขัดคำสั่ง จำต้องแข็งใจไป นานเข้าก็เลยรู้ความจริงว่า เสียงต่าง ๆ ภาพต่าง ๆ ที่เราเห็นนั้น มันเกิดจากกิ่งไม้หักบ้าง กระรอก กระแต วิ่งบ้าง ก็เลยหายกลัว

เรื่องหมาหอนแมวร้อง ท่านก็แก้ด้วยการให้เอาไฟฉายไปส่องดูแล้ว ก็ได้รู้ว่าที่แท้เป็นหมาเป็นแมวที่เราเล่นกับมันอยู่ทุกวันนั่นเอง ไม่ใช่ผีสางอะไร ความกลัวก็เลยหายไป

ตุ๊กแกที่เคยได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัวมัน ในเวลากลางวัน วันหนึ่งท่านเอาปูนแดงผสมยาฉุนปั้นเป็นก้อนเสียบปลายไม้แหย่เข้าไปในโพรงที่อยู่ของมัน มันก็งับทันทีสักพักก็เมาหล่นตุ้บลงมา พอเห็นว่ามันไม่มีพิษสงอะไร ก็เลยรู้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว


เรื่องที่ 2 ปราบผีตะเคียน

ที่หน้าบ้านของอาตมา มีต้นตะเคียนใหญ่อยู่ต้นหนึ่งชาวบ้านชอบมาขอหวยอยู่เป็นประจำ โดยเอามีดมาถากเปลือกตะเคียนออกแล้วเอานิ้วหัวแม่มือขัดถู เนื่องจากถูเร็ว ๆ ตาลายบ้าง บางทีคนที่ถูอาจจะเห็นลายไม้เป็นตัวเลขก็ได้ และเมื่อมีคนมาขอหวยกันมากคนเข้า ก็มีคนถูกหวยบ้าง (สมัยนั้นเล่นหวย ก.ข.) จึงลือกันว่าผีตะเคียนให้หวยแม่น

ต่อมาไม่นาน มีคนมาผูกคอตายที่ต้นตะเคียนจึงเกิดข่าวลือ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของต้นตะเคียนยิ่งขึ้นไปอีก เลยกลายเป็นที่ชุมนุมของนักพนัน มีคนเอาผ้าแดงมาคาดต้นตะเคียนบ้าง มาตั้งศาลเจ้าบ้าง ทำให้ดูน่าเกรงกลัวซ้ำพวกที่มาขอหวย ยังชอบคุยเรื่องผีให้ฟังกันอยู่เรื่อย ๆ เรายิ่งกลัวกันใหญ่

โยมพ่อเห็นว่าท่าไม่ดีจึงหาวิธีแก้ไข กล่าวคือ ทุก ๆ วันเมื่อกลับจากไร่ ท่านจะเอาฟืนมาโยนไว้ที่โคนต้นตะเคียนคราวละดุ้นสองดุ้นไม่ให้เป็นที่สังเกต ครั้นมีกองฟืนรอบโคนต้นมากพอแล้ว ท่านก็จุดไฟเผาต้นตะเคียนทันที ไม่เห็นผีตะเคียนที่ไหนมาทำอะไรท่านเลย

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้ 4-5 ปี ท่านได้สารภาพว่าวันแรก ๆ ท่านก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่พอครบ 7 วันแล้ว ก็ไม่นึกกลัวอีก ของบางอย่างเพื่อสวัสดิภาพของ ลูก ๆ แม้จะเสี่ยงท่านก็จำต้องกระทำ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นผลให้อาตมาเลิกกลัวเรื่องภูตผีปีศาจ ไม่เชื่อเรื่องศาลพระภูมิหรือศาลเจ้าเลย


เรื่องที่ 3 วิธีลงโทษ

เมื่อลูก ๆ ทำผิดแต่ละครั้ง ท่านไม่เคยละเว้นการลงโทษ ซึ่งส่วนมากก็ไม่แคล้วถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว แต่การเฆี่ยนเพียง 5 ทีของท่าน ช่างนานเสียเหลือเกินในความรู้สึกของอาตมา เพราะก่อนจะลงมือเฆี่ยน ท่านจะต้องแจกแจงความผิดให้ทราบเสียก่อนแล้วให้พูดทวนให้ได้ว่า ผิดเพราะอะไร จะขาดจะเกินสักหน่อย ก็ไม่ได้มิหนำซ้ำยังต้องตะโกนพูดให้เสียงดังฟังชัด

ถ้ายังไม่ถูกต้อง หรือยังไม่ครบถ้วน ท่านก็จะให้ พูดซ้ำใหม่แล้วจึงหวดไม้เรียวควับแรกลงไปที่ก้นอย่างไม่ยั้งมือเลย เลือดซิบ ๆ เจ็บถึงใจทุกที

แม้จะลงมือเฆี่ยนครั้งที่สองและครั้งต่อไป ท่านก็จะให้พูดทบทวนความผิดเช่นเดียวกัน เสียงต้องดังฟังชัดอย่างเดิม แต่เนื่องจากพูดไปร้องไห้ไปเสียงจึงเครือกระท่อนกระแท่น ท่านก็ไม่ยอมลดราวาศอก อาตมาต้องพยายามฝืนใจอย่างมาก

ดังนั้นกว่าการลงโทษจะครบถ้วนกระบวนความ ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ๆ

แต่เจ็บกายยังไม่ร้ายเท่าเจ็บที่ใจ เพราะเสียหน้า เนื่องจากถูกเฆี่ยนต่อหน้าพี่ ๆ บางวันถูกลงโทษถึง 2-3 ครั้ง เพราะความที่เกเรมาก

ยิ่งกว่านั้น ท่านยังมีวิธีเสริมความฉลาดให้ลูกอย่างไม่มีใครเหมือน ไม้เรียวที่จะใช้เฆี่ยนอาตมานั้น ท่านให้ไปหามาเอง ถ้าไม่ฉลาดในการเลือกไม้เรียวก็เจ็บตัวมาก เพราะไม้เรียว ใช้ตีครั้งแรกจะเจ็บมาก เพราะไม้ยังสดและแข็ง แต่เมื่อตีครั้งต่อไปจะเจ็บน้อยลงไปเพราะไม้เริ่มช้ำและค่อย ๆ หักไปทีละท่อน อาตมาจะต้องคำนวณให้ได้ว่า ไม้เรียวอันนั้นจะต้องมีขนาดพอเหมาะถึงขนาดที่พอตีครั้งสุดท้ายแล้ว ไม้เรียวต้องหักหมดพอดี เพราะถ้าหักหมดก่อน ท่านจะให้ไปหาไม้มาใหม่ แต่ถ้าเลือกไม้ใหญ่ไป ตี 5 ครั้ง ก็ยังไม่หัก เราก็จะต้องเจ็บมากเพราะไม้แข็ง ทำให้ต้องเจ็บหนักขึ้นอีก




เรื่องที่ 4 ฝึกให้ลูกเคารพกันตามลำดับอาวุโส

“ที่ไหนขาดความเคารพ ที่นั่นจะมีแต่ความแตกแยก”

อาตมาเป็นน้องชายคนสุดท้องมีพี่สาว 2 คน เมื่อเรียนชั้นประถมมักทะเลาะเบาะแว้งกับพี่สาวเป็นประจำ

เวลาโยมพ่อกลับจากทำงานมาเห็น ท่านไม่เคยสอบถามว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ใครผิดใครถูก แต่ท่านจะชี้หน้าให้อาตมาไปหักไม้เรียวแล้วมายืนกอดอกให้พี่สาวตีก่อน ในฐานะที่ไม่เคารพกันตามลำดับอาวุโส ถ้าครั้งใดก่อเรื่องกับพี่สาวไว้มาก เขาก็ตีไม่ยั้งต่อหน้าพ่อนี่แหละ ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเรียกกันในครอบครัวว่า “ตีเบิกความ” จากนั้นท่านจึงจะซักไซ้ไล่เลียงว่า ทะเลาะกันเรื่องอะไร

ถ้าสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าอาตมาผิดที่ไปอาละวาดพี่เขาก่อน โยมพ่อก็จะตีเอง โดยมีพี่สาวยืนยิ้มเยาะอยู่ข้าง ๆ ด้วย อยางนี้แหละมันเจ็บแสนเจ็บ

แต่ถ้าพี่เขาเป็นฝ่ายผิด ท่านก็จะตีพี่เอง เราเป็นน้องไม่เคยมีโอกาสตีกลับคืนเลย

เพราะเหตุที่ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็จะต้องถูกตีเบิกความก่อน ดังนั้นจึงไม่อยากมีเรื่องกับพี่ ๆ เขาอีก เพราะมันไม่คุ้ม มีแต่ขาดทุน และการที่ถูกบังคับให้ เรียกคำนำหน้าว่า “พี่” เสมอ ทำให้เกิดความเคารพกันตามลำดับอาวุโส ครั้นเติบโตขึ้นไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือถูกเหตุการณ์บีบคั้นอย่างไร ก็ทนได้ ไม่เดือดร้อนอะไร




เรื่องที่ 5 ความสามัคคี

“สามัคคี คือ พลัง” ใคร ๆ ก็รู้ แต่การฝึกให้เกิดความสามัคคีแม้แต่ในครอบครัว ก็มิใช่เรื่องง่าย ๆ ถ้าปล่อยให้เกิดการแตกความสามัคคีกันในครอบครัวขึ้นแล้ว ไม่ต้องสงสัยว่าในระดับชาติก็แตกแยกได้

เนื่องจากโยมพ่อเป็นชาวไร่ ท่านจึงฝึกความสามัคคี ให้พวกเราสามพี่น้อง ด้วยการให้ไปดายหญ้าด้วยกันบ้าง ไปขุดดินด้วยกันบ้างแต่ต้องให้เสร็จในวันนั้น โดยรู้กันเป็นนัยว่า ถ้าไม่เสร็จก็ไม่ได้กินข้าวเย็น เราจึงต้องช่วยกันจนเสร็จ ไม่กล้าหลีกเลี่ยง ถ้าคนใดคนหนึ่งเถลไถล ไม่ตั้งใจทำ บางครั้งกว่าจะเสร็จก็เกือบทุ่มหิวแทบตาย จึงต้องช่วยกันทำให้เกิดความสามัคคี


เรื่องที่ 6 การกินข้าวมื้อเย็นกับลูก

เด็ก ๆ นั้นเมื่อทำความผิดอะไรมา เช่น หนีโรงเรียน มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน แอบสูบบุหรี่ หรือขโมยสตางค์พ่อแม่ ในระยะ 2-3 ครั้งแรกจะมีพิรุธ แต่ถ้าผู้ใหญ่จับไม่ได้ถึง 3 ครั้ง พิรุธจะหมดเพราะเคยชินจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

ดังนั้น พ่อแม่ต้องพยายามเอาใจใส่ลูกให้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของลูก หากมีอะไรผิดปกติก็จะสังเกตได้ตั้งแต่ครั้งแรก ๆ จะได้แก้ไขทันท่วงที

ที่บ้านของอาตมา โยมแม่จะออกไปขายขนมตั้งแต่ ตี 4 ตี 5 โยมพ่อออกไปทำไร่ตั้งแต่อรุณรุ่ง ดังนั้นโอกาสที่จะได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ก็คือ เวลาอาหารมื้อเย็น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะไปทำผิดอะไรมา ท่านจะจับได้ทุกครั้ง เช่น หนีไปว่ายน้ำ ท่านก็จับได้ เพราะเห็นนัยน์ตาแดง ๆ ไปต่อยกันมา ก็จะมีรอยฟกช้ำดำเขียว แอบไปสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้ากลิ่นหรือร่องรอยพิรุธก็จะติดตัวมา ซึ่งร่องรอยเหล่านี้ ถ้าปล่อยให้ข้ามคืนไปแล้วจะจับไม่ได้เลย เมื่อท่านจับได้แล้ว ท่านก็จะลงโทษก่อนอาหารนั่นแหละ

ดังนั้น ถ้าวันไหนมีใครถูกตี วันนั้นคนทั้งบ้านจะกินข้าวไม่ค่อยลง ถ้าวันไหนไม่มีใครถูกตี ก็จะสดชื่นกันทั้งบ้าน

ประเพณีการกินข้าวมื้อเย็น จึงเป็นมนต์ขลัง หรือวิถีทางอันศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่งที่ทำให้ลูก ๆ ประพฤติตนอยู่กับร่องกับรอย




พระธรรมเทศนาโดย...หลวงพ่อทัตตชีโว
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก


ท้ายที่สุดนี้ขอเรียนเชิญยอดกัลยาณมิตรลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ได้ออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรเชิญชวนชายแมนแมนผู้มีบุญ มาบวชเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา และบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวในวาระวันคล้ายวันเกิด 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ครบ 79 ปีกันนะคะ
ซึ่งกำหนดการด้านล่างนี้ เป็นวันเข้าวัดจนถึงวันสิ้นสุดโครงการ


ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู
ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี


2 ความคิดเห็น: