จากความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับโยมพ่อ
ยังมีเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีก คือ
เรื่องที่ 1
รักษาโรคกลัวผี
เมื่ออาตมายังเล็ก ลุง ป้า น้า อา ทั้งหลายชอบเล่าเรื่องผีให้ฟังอยู่บ่อย
ๆ จึงกลัวผีมาก ไม่กล้านอนคนเดียว เวลาค่ำมืด ไม่ยอมออกไปไหนเด็ดขาด
แม้แต่เสียงแมวหง่าวร้อง ก็กลัวแทบขาดใจได้ยินเสียงหมาหอนทีไรนอนกอดแม่ตัวกลมทุกที หรือพอตุ๊กแกร้องก็ผวา
โยมพ่อมีวิธีแก้นิสัยขี้กลัวนี้อย่างไร
เวลากลางวัน โยมพ่อมักออกไปตัดกล้วยในไร่ ซึ่งมีหญ้ารกทึบแล้วกองสุม ๆ
ไว้ ตอนกลางวัน ๆ ท่านก็ไม่ใช้ให้ไปขน กลับมาใช้ตอนโพล้เพล้ อาตมากลัวผีก็กลัว
แต่กลัวพ่อมากกว่า เลยไม่กล้าขัดคำสั่ง จำต้องแข็งใจไป นานเข้าก็เลยรู้ความจริงว่า
เสียงต่าง ๆ ภาพต่าง ๆ ที่เราเห็นนั้น มันเกิดจากกิ่งไม้หักบ้าง กระรอก กระแต
วิ่งบ้าง ก็เลยหายกลัว
เรื่องหมาหอนแมวร้อง
ท่านก็แก้ด้วยการให้เอาไฟฉายไปส่องดูแล้ว ก็ได้รู้ว่าที่แท้เป็นหมาเป็นแมวที่เราเล่นกับมันอยู่ทุกวันนั่นเอง
ไม่ใช่ผีสางอะไร ความกลัวก็เลยหายไป
ตุ๊กแกที่เคยได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัวมัน ในเวลากลางวัน
วันหนึ่งท่านเอาปูนแดงผสมยาฉุนปั้นเป็นก้อนเสียบปลายไม้แหย่เข้าไปในโพรงที่อยู่ของมัน
มันก็งับทันทีสักพักก็เมาหล่นตุ้บลงมา พอเห็นว่ามันไม่มีพิษสงอะไร
ก็เลยรู้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว
เรื่องที่ 2 ปราบผีตะเคียน
ที่หน้าบ้านของอาตมา มีต้นตะเคียนใหญ่อยู่ต้นหนึ่งชาวบ้านชอบมาขอหวยอยู่เป็นประจำ
โดยเอามีดมาถากเปลือกตะเคียนออกแล้วเอานิ้วหัวแม่มือขัดถู เนื่องจากถูเร็ว ๆ
ตาลายบ้าง บางทีคนที่ถูอาจจะเห็นลายไม้เป็นตัวเลขก็ได้ และเมื่อมีคนมาขอหวยกันมากคนเข้า
ก็มีคนถูกหวยบ้าง (สมัยนั้นเล่นหวย ก.ข.) จึงลือกันว่าผีตะเคียนให้หวยแม่น
ต่อมาไม่นาน มีคนมาผูกคอตายที่ต้นตะเคียนจึงเกิดข่าวลือ
ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของต้นตะเคียนยิ่งขึ้นไปอีก เลยกลายเป็นที่ชุมนุมของนักพนัน
มีคนเอาผ้าแดงมาคาดต้นตะเคียนบ้าง มาตั้งศาลเจ้าบ้าง
ทำให้ดูน่าเกรงกลัวซ้ำพวกที่มาขอหวย ยังชอบคุยเรื่องผีให้ฟังกันอยู่เรื่อย ๆ
เรายิ่งกลัวกันใหญ่
โยมพ่อเห็นว่าท่าไม่ดีจึงหาวิธีแก้ไข กล่าวคือ ทุก ๆ วันเมื่อกลับจากไร่
ท่านจะเอาฟืนมาโยนไว้ที่โคนต้นตะเคียนคราวละดุ้นสองดุ้นไม่ให้เป็นที่สังเกต
ครั้นมีกองฟืนรอบโคนต้นมากพอแล้ว ท่านก็จุดไฟเผาต้นตะเคียนทันที
ไม่เห็นผีตะเคียนที่ไหนมาทำอะไรท่านเลย
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้ 4-5 ปี ท่านได้สารภาพว่าวันแรก ๆ ท่านก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่พอครบ 7 วันแล้ว ก็ไม่นึกกลัวอีก ของบางอย่างเพื่อสวัสดิภาพของ
ลูก ๆ แม้จะเสี่ยงท่านก็จำต้องกระทำ
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นผลให้อาตมาเลิกกลัวเรื่องภูตผีปีศาจ
ไม่เชื่อเรื่องศาลพระภูมิหรือศาลเจ้าเลย
เรื่องที่ 3 วิธีลงโทษ
เมื่อลูก ๆ ทำผิดแต่ละครั้ง ท่านไม่เคยละเว้นการลงโทษ
ซึ่งส่วนมากก็ไม่แคล้วถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว แต่การเฆี่ยนเพียง
5 ทีของท่าน ช่างนานเสียเหลือเกินในความรู้สึกของอาตมา เพราะก่อนจะลงมือเฆี่ยน
ท่านจะต้องแจกแจงความผิดให้ทราบเสียก่อนแล้วให้พูดทวนให้ได้ว่า ผิดเพราะอะไร
จะขาดจะเกินสักหน่อย ก็ไม่ได้มิหนำซ้ำยังต้องตะโกนพูดให้เสียงดังฟังชัด
ถ้ายังไม่ถูกต้อง หรือยังไม่ครบถ้วน ท่านก็จะให้
พูดซ้ำใหม่แล้วจึงหวดไม้เรียวควับแรกลงไปที่ก้นอย่างไม่ยั้งมือเลย เลือดซิบ ๆ
เจ็บถึงใจทุกที
แม้จะลงมือเฆี่ยนครั้งที่สองและครั้งต่อไป
ท่านก็จะให้พูดทบทวนความผิดเช่นเดียวกัน เสียงต้องดังฟังชัดอย่างเดิม
แต่เนื่องจากพูดไปร้องไห้ไปเสียงจึงเครือกระท่อนกระแท่น ท่านก็ไม่ยอมลดราวาศอก
อาตมาต้องพยายามฝืนใจอย่างมาก
ดังนั้นกว่าการลงโทษจะครบถ้วนกระบวนความ ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ๆ
แต่เจ็บกายยังไม่ร้ายเท่าเจ็บที่ใจ เพราะเสียหน้า
เนื่องจากถูกเฆี่ยนต่อหน้าพี่ ๆ บางวันถูกลงโทษถึง 2-3 ครั้ง เพราะความที่เกเรมาก
ยิ่งกว่านั้น ท่านยังมีวิธีเสริมความฉลาดให้ลูกอย่างไม่มีใครเหมือน
ไม้เรียวที่จะใช้เฆี่ยนอาตมานั้น ท่านให้ไปหามาเอง
ถ้าไม่ฉลาดในการเลือกไม้เรียวก็เจ็บตัวมาก เพราะไม้เรียว ใช้ตีครั้งแรกจะเจ็บมาก
เพราะไม้ยังสดและแข็ง แต่เมื่อตีครั้งต่อไปจะเจ็บน้อยลงไปเพราะไม้เริ่มช้ำและค่อย
ๆ หักไปทีละท่อน อาตมาจะต้องคำนวณให้ได้ว่า ไม้เรียวอันนั้นจะต้องมีขนาดพอเหมาะถึงขนาดที่พอตีครั้งสุดท้ายแล้ว
ไม้เรียวต้องหักหมดพอดี เพราะถ้าหักหมดก่อน ท่านจะให้ไปหาไม้มาใหม่
แต่ถ้าเลือกไม้ใหญ่ไป ตี 5 ครั้ง ก็ยังไม่หัก
เราก็จะต้องเจ็บมากเพราะไม้แข็ง ทำให้ต้องเจ็บหนักขึ้นอีก
เรื่องที่ 4 ฝึกให้ลูกเคารพกันตามลำดับอาวุโส
“ที่ไหนขาดความเคารพ ที่นั่นจะมีแต่ความแตกแยก”
อาตมาเป็นน้องชายคนสุดท้องมีพี่สาว 2 คน
เมื่อเรียนชั้นประถมมักทะเลาะเบาะแว้งกับพี่สาวเป็นประจำ
เวลาโยมพ่อกลับจากทำงานมาเห็น ท่านไม่เคยสอบถามว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร
ใครผิดใครถูก แต่ท่านจะชี้หน้าให้อาตมาไปหักไม้เรียวแล้วมายืนกอดอกให้พี่สาวตีก่อน
ในฐานะที่ไม่เคารพกันตามลำดับอาวุโส ถ้าครั้งใดก่อเรื่องกับพี่สาวไว้มาก
เขาก็ตีไม่ยั้งต่อหน้าพ่อนี่แหละ ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเรียกกันในครอบครัวว่า “ตีเบิกความ”
จากนั้นท่านจึงจะซักไซ้ไล่เลียงว่า ทะเลาะกันเรื่องอะไร
ถ้าสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าอาตมาผิดที่ไปอาละวาดพี่เขาก่อน โยมพ่อก็จะตีเอง
โดยมีพี่สาวยืนยิ้มเยาะอยู่ข้าง ๆ ด้วย อยางนี้แหละมันเจ็บแสนเจ็บ
แต่ถ้าพี่เขาเป็นฝ่ายผิด ท่านก็จะตีพี่เอง
เราเป็นน้องไม่เคยมีโอกาสตีกลับคืนเลย
เพราะเหตุที่ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็จะต้องถูกตีเบิกความก่อน
ดังนั้นจึงไม่อยากมีเรื่องกับพี่ ๆ เขาอีก เพราะมันไม่คุ้ม มีแต่ขาดทุน
และการที่ถูกบังคับให้ เรียกคำนำหน้าว่า “พี่” เสมอ
ทำให้เกิดความเคารพกันตามลำดับอาวุโส
ครั้นเติบโตขึ้นไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือถูกเหตุการณ์บีบคั้นอย่างไร ก็ทนได้
ไม่เดือดร้อนอะไร
เรื่องที่ 5 ความสามัคคี
“สามัคคี คือ พลัง” ใคร ๆ ก็รู้
แต่การฝึกให้เกิดความสามัคคีแม้แต่ในครอบครัว ก็มิใช่เรื่องง่าย ๆ
ถ้าปล่อยให้เกิดการแตกความสามัคคีกันในครอบครัวขึ้นแล้ว
ไม่ต้องสงสัยว่าในระดับชาติก็แตกแยกได้
เนื่องจากโยมพ่อเป็นชาวไร่ ท่านจึงฝึกความสามัคคี ให้พวกเราสามพี่น้อง
ด้วยการให้ไปดายหญ้าด้วยกันบ้าง ไปขุดดินด้วยกันบ้างแต่ต้องให้เสร็จในวันนั้น
โดยรู้กันเป็นนัยว่า ถ้าไม่เสร็จก็ไม่ได้กินข้าวเย็น เราจึงต้องช่วยกันจนเสร็จ
ไม่กล้าหลีกเลี่ยง ถ้าคนใดคนหนึ่งเถลไถล ไม่ตั้งใจทำ บางครั้งกว่าจะเสร็จก็เกือบทุ่มหิวแทบตาย
จึงต้องช่วยกันทำให้เกิดความสามัคคี
เรื่องที่ 6 การกินข้าวมื้อเย็นกับลูก
เด็ก ๆ นั้นเมื่อทำความผิดอะไรมา เช่น หนีโรงเรียน
มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน แอบสูบบุหรี่ หรือขโมยสตางค์พ่อแม่ ในระยะ
2-3 ครั้งแรกจะมีพิรุธ แต่ถ้าผู้ใหญ่จับไม่ได้ถึง
3 ครั้ง พิรุธจะหมดเพราะเคยชินจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
ดังนั้น พ่อแม่ต้องพยายามเอาใจใส่ลูกให้มากที่สุด
เพื่อจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของลูก หากมีอะไรผิดปกติก็จะสังเกตได้ตั้งแต่ครั้งแรก
ๆ จะได้แก้ไขทันท่วงที
ที่บ้านของอาตมา โยมแม่จะออกไปขายขนมตั้งแต่ ตี
4
ตี 5 โยมพ่อออกไปทำไร่ตั้งแต่อรุณรุ่ง
ดังนั้นโอกาสที่จะได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ก็คือ เวลาอาหารมื้อเย็น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะไปทำผิดอะไรมา ท่านจะจับได้ทุกครั้ง เช่น
หนีไปว่ายน้ำ ท่านก็จับได้ เพราะเห็นนัยน์ตาแดง ๆ ไปต่อยกันมา ก็จะมีรอยฟกช้ำดำเขียว
แอบไปสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้ากลิ่นหรือร่องรอยพิรุธก็จะติดตัวมา
ซึ่งร่องรอยเหล่านี้ ถ้าปล่อยให้ข้ามคืนไปแล้วจะจับไม่ได้เลย เมื่อท่านจับได้แล้ว
ท่านก็จะลงโทษก่อนอาหารนั่นแหละ
ดังนั้น ถ้าวันไหนมีใครถูกตี วันนั้นคนทั้งบ้านจะกินข้าวไม่ค่อยลง
ถ้าวันไหนไม่มีใครถูกตี ก็จะสดชื่นกันทั้งบ้าน
ประเพณีการกินข้าวมื้อเย็น จึงเป็นมนต์ขลัง
หรือวิถีทางอันศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่งที่ทำให้ลูก ๆ ประพฤติตนอยู่กับร่องกับรอย
พระธรรมเทศนาโดย...หลวงพ่อทัตตชีโว
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก
ท้ายที่สุดนี้ขอเรียนเชิญยอดกัลยาณมิตรลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ได้ออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรเชิญชวนชายแมนแมนผู้มีบุญ มาบวชเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา และบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวในวาระวันคล้ายวันเกิด 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ครบ 79 ปีกันนะคะ
ซึ่งกำหนดการด้านล่างนี้ เป็นวันเข้าวัดจนถึงวันสิ้นสุดโครงการ
ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู
ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
สาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบน้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ
ตอบลบ