พระธรรมเทศนาเรื่องกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก...ตอนที่ 3 คลิกอ่านได้เลยนะคะ
เรื่องที่ 12 สงเคราะห์ญาติ
การสงเคราะห์ญาติเป็นเรื่องดี ควรทำอย่างยิ่ง แต่หลาย ๆ
คนต้องได้รับความเดือดร้อน เพราะสงเคราะห์ญาติไม่เป็น แล้วมาบ่นว่า “ทำดีไม่ได้ดี”
แท้จริงหากทำดีให้ถูกหลักเกณฑ์ย่อมได้ดี
เรื่องสงเคราะห์ญาตินี้ โยมพ่อได้ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างยังจำได้เมื่ออาตมายังเรียนอยู่ชั้นประถม
วันหนึ่งเพื่อนของโยมพ่อมาขอยืมเงิน 1 หมื่นบาท
(ซึ่งสมัยนั้นมีค่ามาก เพราะก๋วยเตี๋ยวยังราคาชามละ 1 สลึงเท่านั้น)
โยมพ่อตอบว่า
“บ้านนี้ไม่มีเงินให้ใครยืม”
เพื่อนของโยมพ่อจึงเปลี่ยนเป็นขอกู้ โยมพ่อก็ตอบว่า
“บ้านนี้ไม่มีเงินให้ใครกู้ มีแต่เงินช่วย” แล้วท่านก็พูดต่อว่า
“เงินหมื่น ไม่ใช่ว่าจะไม่มี มี แต่ให้ไปไม่ได้
เพราะจำเป็นต้องใช้ในเรื่องต่างๆ เหมือนกัน หากให้ยืมไปแล้ว ถึงคราวจำเป็นต้องใช้
แล้วเพื่อนนำเงินมาคืนไม่ทัน ช้าไปเพียงวันสองวันฉันก็จะแย่ แล้วจะพลอยทำให้มองหน้ากันไม่สนิท
เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน
ก็เอาไปเถอะหนึ่งพันบาทและเงินพันบาทนี้
ถ้าหากยืมไปแล้วสามารถเอามาใช้คืนได้ก็เอามาคืน จะได้ไว้ช่วยพรรคพวกคนอื่นๆ ต่อไป
แต่ถ้าไม่สามารถเอามาคืนได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องหลบลี้หนีหน้าไป
เพราะถือว่าได้ยกให้แล้ว และถ้าอยากจะได้เงินให้ครบหมื่น
ก็ไปหาพรรคพวกที่มีน้ำใจอย่างฉันนี้อีก 9 คน ก็จะได้เงินครบหมื่นตามต้องการ...
เพื่อนของโยมพ่อคนนี้หายหน้าหายตาไปเป็นปี วันหนึ่งเขาก็เอาเงินมาคืน
และพยายามให้ดอกเบี้ยกับโยมพ่อ แต่โยมพ่อไม่รับ
แต่บอกให้เขานำเงินที่เขาคิดว่าเป็นดอกเบี้ยนี้ไปฝากธนาคาร เผื่อว่าเพื่อนคนอื่นๆ เดือดร้อน
เขาจะได้ช่วยเหลือต่อๆ ไปอีก
เมื่อโยมพ่อควักเงินให้ใคร ท่านมักคำนึงว่า
1.ไม่ทำให้ท่านและครอบครัวเดือดร้อน
2.ไม่หวังสิ่งตอบแทน
แต่คิดจะช่วยจริงๆ
โยมพ่อจะไม่ให้ใครยืมเงิน ถ้าให้ก็ให้ไปเลย เพราะฉะนั้นบ้านเราจะไม่เคยไปทวงหนี้ใคร
และไม่เคยให้ใครมาทวงหนี้เรา ทั้งไม่เสียชื่อและไม่โกหกใคร
ตลอดชีวิตจึงไม่เคยได้ยินท่านบ่นเลยว่าทำดีไม่ได้ดี
เรื่องที่ 13 ทัศนคติในการทำบุญ
โยมพ่อเคยอยู่ในตระกูลมั่งมีมาก่อน
แล้วยากจนลงภายหลังจึงสร้างฐานะได้ใหม่ ดังนั้น ถึงแม้จะเคยบวชเรียนมาบ้าง
แต่เนื่องจากความตระหนี่ยังมีอยู่มาก
ท่านจึงไม่ค่อยได้ทำบุญให้ทานบ่อยครั้งเหมือนโยมแม่และเมื่อจะทำบุญแต่ละครั้ง
จะต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ทรัพย์สินเงินทองที่จะบริจาคไปนั้น
จะต้องไม่มีการตกหล่นรั่วไหล จึงมีบ่อยครั้งที่ท่านทั้งทำบุญทั้งคอยจับผิดคนอื่นและบางทีทำบุญไปแล้ว
ยังนึกเสียดายในภายหลัง กว่าจะแก้นิสัยอันนี้ได้ก็เมื่อถึงบั้นปลายชีวิตอายุเกือบ 80
ปีเข้าไปแล้ว
ด้วยผลกรรมที่ทำไว้นี้ ทำให้ชีวิตในวัยชราของท่าน
แม้จะมีทรัพย์เพียงพอก็ไม่ยอมใช้จ่ายอย่างเต็มที่ เช่น แม้ลูกๆ จะจัดหาเสื้อผ้าดีๆ
มาให้ ก็ไม่ยอมใช้ เอาไปเก็บไว้อย่างดีเพราะเสียดายทนใช้แต่ของเก่าๆ ปุๆ ปะๆ
อยู่อย่างนั้น แม้เวลาป่วยไข้ ถ้ารู้ว่ายารักษาโรคขนานใดราคาแพง
ท่านก็จะไม่ยอมให้ลูก ๆ ซื้อหาให้ท่าน แม้ลูกๆ จะพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง
ที่นำมาเล่านี้ ไม่มีเจตนาที่จะประจานท่าน แต่หวังจะให้เป็นข้อคิดสำหรับพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
และหากท่านใดจะพึงได้ประโยชน์จากตัวอย่างต่างๆ ของโยมพ่อของอาตมา
เมื่อเวลาไปทำบุญก็โปรดนึกอุทิศส่วนบุญให้แก่ท่านผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย
เรื่องที่ 14
ความเด็ดขาด
ความระมัดระวังตัวเป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยป้องกันการกระทบกระทั่งกันได้
แต่การฝึกให้เป็นคนมีความระมัดระวังตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย
ถึงกระนั้นโยมพ่อก็มีวิธีฝึกลูกๆ ให้มีความระมัดระวังตัวได้
เพราะด้วยนิสัยเด็ดขาดของท่าน
สมัยที่อาตมาไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ความที่เป็นห่วงลูก
ท่านอุตส่าห์เขียนจดหมายถึง 3 ฉบับติดต่อกัน
แต่อาตมาก็ยังไม่ได้ตอบ เพราะเป็นคนไม่ชอบเขียนจดหมาย
ทั้งขณะนั้นก็ยังปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ไม่ดี จึงคิดเกรงว่า
ถ้าตอบจดหมายไปตามความเป็นจริง โยมพ่อก็จะเป็นห่วง
ครั้นจะเขียนตอบแบบลมเพลมพัดเรื่อยเปื่อยไม่มีสาระอะไร ก็อายเขา โยมพ่อก็คงไม่ชอบ
ดังนั้นจึงยังไม่ตอบ
จดหมายฉบับที่ 4 โยมพ่อท่านเขียนส่งมา มีข้อความสั้นๆ ว่า
“ลูกรักถ้ายังไม่ตาย ตอบจดหมายพ่อด้วย”
แม้ได้รับจดหมายฉบับนั้นแล้ว อาตมาก็ยังไม่ได้ตอบจดหมายท่าน
ตั้งแต่นั้นมาโยมพ่อจึงไม่ส่งจดหมายไปถึงอาตมาอีกเลย ทำเหมือนได้ตายจากกันแล้วจริงๆ
ตอนนั้น อาตมาก็ยังไม่ได้นึกอะไร คิดว่าไม่เป็นไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ก็มีความสำนึกขึ้นว่า กับผู้มีพระคุณครูบาอาจารย์เราต้องมีความระมัดระวังตัวให้มาก
ทำอะไรก็ต้องคอยสังเกตว่าท่านรู้สึกอย่างไร กระทบกระเทือนอะไรท่านไหม
ท่านชอบหรือไม่ ท่านเตือนก็ต้องฟังแล้วรีบปรับปรุงแก้ไข
อาตมารู้สึกเกรงความเด็ดขาดของท่าน ถ้ามัวประมาทคิดว่าไม่เป็นไร
ท่านเด็ดขาดตัดเยื่อใยกันจริงๆ แล้วเราจะแย่
และนิสัยความเด็ดขาดของโยมพ่อนี้
ก็ถ่ายทอดมายังอาตมาทำให้เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้ว จะไม่มีความลังเล
และต้องทำอย่างเต็มที่และเต็มใจ
เรื่องที่ 15
ความเป็นผู้มีเหตุผล
คนส่วนมากอยากจะให้ลูกเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ถ้าลูกจะบวชตลอดชีวิต
ก็มักไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าลูกมีแววว่าจะมีความสำเร็จ
มีความก้าวหน้าทางโลกมากเท่าไร ยิ่งไม่อยากให้บวชมากขึ้นเท่านั้น
โยมพ่อก็เช่นกัน
เมื่อได้ทราบข่าวว่าอาตมาเข้าวัดไปศึกษาธรรมะฝึกสมาธิกับคุณยายอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง และหลวงพ่อธัมมชโย ครั้งแรกท่านก็ดีใจว่า ลูกจะมีคุณธรรมสูงยิ่งขึ้น
แต่เมื่อทราบว่าลูกจะบวชตลอดชีวิต ท่านก็รู้สึกไม่ค่อยถูกใจ
ยังจำได้แม่นยำว่า วันที่มากราบเท้าขอลาบวช ท่านก็ดีใจแต่เมื่อท่านถามว่า
“จะบวชนานเท่าไร”
พออาตมาตอบว่า “จะบวชตลอดชีวิต”
ท่านก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
แล้วก็พยายามยกเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมให้อาตมาเปลี่ยนความคิดว่า
“ปู่ของเจ้ามีลูกชายคนเดียวคือ พ่อ และพ่อมีลูกชายคนเดียว คือเจ้า
ถ้าเจ้าบวชไม่สึก สกุลเราคงด้วนแค่นี้ คิดให้ดีนะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น เหมือนคำตอบผุดขึ้นมาในใจ จึงตอบท่านไปทันทีว่า
“สกุลของเรา ถ้าแม้จะมีเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นคน
มันก็ไม่ทำให้โลกนี้ แผ่นดินนี้ดีใจหรือเสียใจหรือถึงสกุลของเราจะด้วน
จะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ โลกนี้แผ่นดินนี้ มันก็คงเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายกับเรา
วันหนึ่ง จะต้องมีคนเลวหลงเข้ามาเกิดในสกุลของเราจนได้
และเมื่อถึงวันนั้น แม้เราจะตายไปแล้ว ก็คงมีคนด่าตามหลังว่า คนในสกุลนี้แย่จริงๆ
ตรงกันข้าม ถ้าสกุลของเราจะสิ้นสุดลงไป ในขณะที่ทุกคนเป็นคนดีหมด
ก็รับรองได้ว่า ไม่มีใครด่าเราตามหลัง จะมีแต่คนบ่นเสียดายว่า
สกุลเรานี้ไม่น่าหมดไปเลย น่าจะมีคนดีๆ เพิ่มขึ้นอีก
เพราะฉะนั้นให้มันด้วนไปแค่นี้ดีกว่า”
พอได้ฟังเหตุผลอย่างกระจ่างแจ้งทันควันเช่นนี้
ท่านก็เงียบและไม่พูดอะไรอีกเลย ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย
ยอมรับว่าถูกต้องแม้ไม่ถูกใจ
หลังจากนั้นมาอีกประมาณ 3 วัน
อาตมาได้ออกไปธุระนอกบ้าน หลวงพ่อธัมมชโยได้มาเยี่ยมและคุยกับโยมพ่อ
เมื่ออาตมากลับมา ได้ยินโยมพ่อกล่าวกับหลวงพ่อธัมมชโยว่า
“ในงานบวช จะให้ผู้เป็นพ่อทำอะไรบ้าง”
เสียงหลวงพ่อธัมมชโย ตอบว่า
“ไม่ต้องทำอะไร ตั้งใจอนุโมทนาก็แล้วกัน แล้วโยมพ่อต้องไปในพิธีบวชให้ได้นะ”
อาตมาได้ยินเท่านั้นก็รู้สึกสบายใจ เพราะโยมพ่อคงอนุญาตให้บวชแน่ๆ แล้ว
นี่ก็แสดงว่า โยมพ่อของอาตมายอมรับเหตุผล ถ้าเป็นเหตุผลที่ถูกต้องและเหตุผลที่ดี
ผลจากการมีคุณสมบัติในการเป็นคนยอมรับฟังเหตุผลของโยมพ่อดังกล่าว
จนเป็นตัวอย่างถ่ายทอดมายังบรรดา ลูกๆ จึงนับได้ว่า
เป็นการสอนของโยมพ่ออีกแบบหนึ่ง
เรื่องที่ 16 กว่าจะรู้ว่าพ่อรัก
ตั้งแต่โยมพ่อมีอายุประมาณ 50 ปี เป็นต้นมา ท่านเริ่มมีสุขภาพไม่ค่อยดี
ท่านจึงอบรมลูกโดยการฝึกงานให้ทุกชนิด เผื่อว่าท่านจะเป็นอะไรไปในเวลากะทันหันลูกๆ
จะได้ช่วยตัวเองกันได้
ไม่ว่างานในสวน ในไร่ ในบ้านเรือนทุกอย่าง ท่านเริ่มฝึกให้อย่างหนักขึ้น
โดยเฉพาะอาตมาซึ่งเป็นลูกชายโดนเข้มงวดมากเป็นพิเศษ
จนแทบไม่ค่อยมีโอกาสได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กอื่นๆ มีแต่งาน งาน และงาน
และเมื่อทำอะไรผิดพลาดก็จะต้องถูกลงโทษ เลยทำให้เกิดความรู้สึกทั้งเกรงและกลัวโยมพ่อ
แม้บางครั้งอาตมาจะไม่นึกรักท่าน แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดท่าน
ในตอนนั้นก็ไม่คิดหรือเข้าใจว่า ใจของเราที่มีต่อโยมพ่อเช่นนั้น จะถูกหรือผิด
ต่อเมื่อมีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
จึงรู้สึกซาบซึ้งในความรักความห่วงใยของท่านที่มีต่ออาตมา
เพราะรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ได้ใช้ระบบอาวุโสอย่างเคร่งครัดดุเดือดอยู่ไม่น้อย เพื่อนคนอื่นๆ
พากันเดือดร้อนกับระบบนี้ แต่สำหรับอาตมารู้สึกธรรมดา
เพราะเคยมีประสบการณ์มาจากโยมพ่อ
ดังนั้น ในการทำงานหรือทำกิจกรรมร่วมกันกับรุ่นพี่ จึงมักได้รับความไว้วางใจ
ให้เป็นแม่งานสั่งงานเองได้
ซึ่งโดยธรรมดานักศึกษาที่เป็นน้องใหม่ทั่วไปจะไม่มีโอกาสเช่นนั้น
นี่ก็เป็นผลมาจากการฝึกลูกๆ ของโยมพ่อ
ความรู้สึกรักและเข้าใจโยมพ่อมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ประทับใจอีกเรื่องหนึ่ง
กล่าวคือ เมื่อตอนใกล้จะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
พวกเราได้ชักชวนกันไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ณ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น มีเด็กอยู่ประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่อายุราว 3-4 ขวบ
พอเขาเห็นพวกเราไป ก็วิ่งกรูกันเข้ามา เพื่อแย่งกันให้พวกเราอุ้ม และเรียกนิสิตชายว่า
“พ่อ” เรียกนิสิตหญิงว่า “แม่” ถึงกับทำให้นิสิตหญิงบางคนอายจนหน้าแดงไปก็มี
ได้เห็นพวกเด็กๆ เหล่านั้นแล้วรู้สึกสลดใจ
แววตาของพวกเขาเลื่อนลอยเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจไร้ความหวัง ไร้ที่พึ่ง
ขาดความอบอุ่น ในการแจกเสื้อผ้า หากได้กันไม่ครบทุกคน คนที่ไม่ได้ก็จะยื้อแย่งเอาจากเด็กคนอื่น
จนถึงกับเสื้อผ้าฉีกขาดเพราะความอิจฉา เวลากินอาหารก็แย่งกันกิน
ทำให้วินิจฉัยได้ว่าเด็กเหล่านี้มีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนเด็กทั่วไปที่เขามีพ่อมีแม่
สมัยที่เราเป็นเด็ก เรารู้สึกว่าเด็กๆ ข้างบ้านล้วนเป็นเพื่อนเล่นของเรา
และเราก็อยากมีเพื่อนมากๆ
เพื่อจะได้เล่นกันให้สนุกไม่เคยมีพฤติกรรมเหมือนเด็กเหล่านี้เลย
ที่เป็นเช่นนั้นคงจะเป็นเพราะท้องเราอิ่ม เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็พร้อม
ความอบอุ่นจากพ่อแม่ก็มี
พวกเด็กๆ
กำพร้าเหล่านั้นกลับมีความรู้สึกตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเราเมื่อตอนเด็ก เพราะเขาอาจจะคิดว่า
ทุกคนที่อยู่ร่วมกันเป็นร้อยนั้นไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นศัตรู ที่มาแย่งเสื้อผ้า
อาหาร และแย่งคนที่จะมาอุ้มเพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสเรียกว่า “พ่อ” หรือ “แม่”
นั่นเอง
เห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว
ทำให้นึกถึงเมื่อตอนเป็นเด็กขณะนั้นมีสงครามโลกครั้งที่
2 พอเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้น
โยมพ่อจะไม่เอาอะไรเลย นอกจากคว้าตัวอาตมามาอุ้มไว้ โยมแม่ก็รีบจูงพี่ๆ
พากันลงหลุมหลบภัย อะไรๆ ท่านไม่ต้องการ ขอแต่ให้ลูกๆ ปลอดภัยเท่านั้น
ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าอาตมาจะไปไหนก็คิดถึงแต่โยมพ่อ
และคิดพยายามตอบแทนพระคุณของท่านอยู่เสมอมา และเมื่อมีโอกาสได้บวช
ก็ตั้งใจชวนท่านให้ทาน รักษาศีลเจริญภาวนาอย่างเต็มที่
โบราณท่านว่า ไม่ว่าพ่อแม่นั้นจะเลี้ยงดูเราหรือไม่ก็ตาม อุปมาว่า
ถ้าใช้ภูเขาสูงเยี่ยมเทียมเมฆมาแทนปากกา ท้องฟ้าแทนกระดาษ
น้ำหมึกหมดมหาสมุทรทั้งสี่แทนหมึก เขียนประกาศพระคุณของพ่อแม่
เขียนจนกระทั่งภูเขาคือปากกาสึกเหี้ยนไปแล้ว
ตัวอักษรก็เต็มท้องฟ้าอันกว้างใหญ่แล้ว
แม้กระนั้นก็ยังสรรเสริญพระคุณของพ่อแม่ยังไม่หมดสิ้น
เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครๆ ในโลกจะเขียนพรรณนาพระคุณของพ่อแม่สักเท่าใด
ก็เป็นเพียงเสี้ยวธุลีหนึ่งแห่งคุณความดีเท่านั้น
เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็เช่นกัน
เป็นประวัติส่วนหนึ่งของโยมพ่อของอาตมา
ผู้เป็นครูชีวิตคนแรกอบรมฝึกฝนให้อาตมารู้จักโลก รู้จักชีวิต รู้จักการทำงาน
วางพื้นฐานนิสัยใจคอให้เป็นอย่างดี จนทำให้อาตมาใฝ่ดี
และกุศลได้ส่งให้อาตมาได้มารู้จักกับหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง และได้มาบวชอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
พระคุณของพ่อแม่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า
.............................................
ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตนประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น
ป้อนข้าวป้อนน้ำ และให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง 100 ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต
ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด
ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องผ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแทนปากกา
น้ำในมหาสมุทรแทนหมึกเขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษรภูเขาสึกกร่อนจนหมด
น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด
การตอบแทนคุณท่าน
...................................
1.เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่
ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชราดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
2.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว
ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังนับว่าเล็กน้อยมาก
เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที
ต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
ถ้าท่านไม่ถึงพร้อมด้วยการทำทาน
พยายามชักนำให้ท่านได้ทำทาน
ถ้าท่านยังไม่มีศีล
พยายามชักนำท่านให้รักษาศีล
ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา
พยายามชักนำท่านให้ทำสมาธิภาวนา
พระธรรมเทศนา...โดยหลวงพ่อทัตตชีโว
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก
จากพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตชีโว ที่ท่านถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงที่ท่านได้รับการอบรมเลี้ยงดูบ่มเพาะนิสัยจากโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์มาแต่เยาว์วัย ทำให้รู้สึกว่าโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์ ท่านเป็นสุดยอดนักปราชญ์เป็นทั้งต้นบุญต้นแบบในการนำหลักธรรมนำมาฝึกสอนลูกให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดีเป็นคนดีที่โลกต้องการ
ทำให้ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายมีบุญได้มีครูบาอาจารย์ที่สร้างบารมีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สั่งสอนศิษย์ทุกคนดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุขและปลอดภัยในสังสารวัฏ และมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายขจรขจายไปสู่หัวใจชาวโลกเพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ดังเช่นหลวงพ่อทัตตชีโวครูผู้มีมหากรุณาต่อศิษย์ทุกคน
ขอกราบแทบเท้ากราบเทอดพระคุณประกาศคุณโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์ โยมพ่อผู้มีพระคุณผู้เป็นครูคนแรกของหลวงพ่อทัตตชีโวมาด้วยความเคารพอย่างสูงสุด กล่าวได้เลยว่าไม่มีโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์ ก็จะไม่มี หลวงพ่อทัตตชีโว (พระเผด็จ ผ่องสวัสดิ์)ครูผู้มีแต่ให้สิ่งดีๆและครูผู้มีพระคุณแก่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกคน
ท้ายที่สุดและสุดท้ายนี้ขอเรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ร่วมแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อหลวงพ่อทัตตชีโว ได้ออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรเชิญชวนชายแมนแมนมาบวชเพื่อน้อมถวายบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวในวาระวันคล้ายวันเกิดท่าน วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562 อายุครบ 79 ปี กันนะคะ
ตามกำหนดการพิธีอุปสมบทหมู่ บูชาธรรม 79 ปี หลวงพ่อทัตตชีโว ด้านล่างนี้นะคะ
กำหนดการพิธีอุปสมบทบูชาธรรม79 ปี หลวงพ่อทัตตชีโว
ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู
ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของศิษย์ดีและคนดี
ขอกราบอนุโมทนาบุญล่วงหน้าต่อยอดกัลยาณมิตรผู้ออกไปทำหน้าที่ชวนชายแมนแมนมาบวชมา ณ โอกาสนี้ สาธุค่ะ