วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง






การที่เราให้วัตถุทาน ให้ข้าว ให้น้ำ ให้เสื้อผ้าแก่เพื่อนมนุษย์ที่ตกยาก มันก็ไม่ได้ช่วยให้เขาพ้นทุกข์หรือรวยขึ้น หรือมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่า รื้อสัตว์ขนสัตว์ เรียกว่า สงเคราะห์กันชั่วคราว ให้ได้มีกิน มีใช้ กินอิ่มเป็นมื้อ ๆ เท่านั้น ไม่ได้ช่วยเขาทุกวัน

วัตถุทานที่ให้ไปนั้น ใช้ได้ไม่นาน แต่ให้ธรรมทานใช้ได้ตลอดชีวิต เราบอกเขาครั้งเดียวให้ได้เรียนรู้ตามประสบการณ์ที่เราเข้าถึง แค่ชีวิตหนึ่งพบกันครั้งเดียว ได้ฟังเรื่องราวความรู้ที่ทำให้เอาตัวรอดได้ การพบกันครั้งนั้นเกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว แม้ต่อไปจะไม่ได้พบกันอีก เพราะได้ให้ธรรมทาน ให้ความรู้ที่จะทำชีวิตให้รอด และปลอดภัยจากอบาย จากสังสารวัฏ

การให้ธรรมทานนี้จึงเป็นเลิศกว่าการให้ทั้งปวง และอย่างนี้ถึงจะเรียกว่า “รือสัตว์ขนสัตว์” ให้พ้นจากวัฏสงสาร เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมา

11 มกราคม พ.ศ. 2547

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

กว่าจะรู้ว่าพ่อรัก...ตอนที่ 4



พระธรรมเทศนาเรื่องกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก...ตอนที่ 3 คลิกอ่านได้เลยนะคะ




เรื่องที่ 12 สงเคราะห์ญาติ

การสงเคราะห์ญาติเป็นเรื่องดี ควรทำอย่างยิ่ง แต่หลาย ๆ คนต้องได้รับความเดือดร้อน เพราะสงเคราะห์ญาติไม่เป็น แล้วมาบ่นว่า “ทำดีไม่ได้ดี” แท้จริงหากทำดีให้ถูกหลักเกณฑ์ย่อมได้ดี

เรื่องสงเคราะห์ญาตินี้ โยมพ่อได้ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างยังจำได้เมื่ออาตมายังเรียนอยู่ชั้นประถม วันหนึ่งเพื่อนของโยมพ่อมาขอยืมเงิน 1 หมื่นบาท (ซึ่งสมัยนั้นมีค่ามาก เพราะก๋วยเตี๋ยวยังราคาชามละ 1 สลึงเท่านั้น) โยมพ่อตอบว่า
“บ้านนี้ไม่มีเงินให้ใครยืม”

เพื่อนของโยมพ่อจึงเปลี่ยนเป็นขอกู้ โยมพ่อก็ตอบว่า

“บ้านนี้ไม่มีเงินให้ใครกู้ มีแต่เงินช่วย” แล้วท่านก็พูดต่อว่า

“เงินหมื่น ไม่ใช่ว่าจะไม่มี มี แต่ให้ไปไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องใช้ในเรื่องต่างๆ เหมือนกัน หากให้ยืมไปแล้ว ถึงคราวจำเป็นต้องใช้ แล้วเพื่อนนำเงินมาคืนไม่ทัน ช้าไปเพียงวันสองวันฉันก็จะแย่ แล้วจะพลอยทำให้มองหน้ากันไม่สนิท

เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ก็เอาไปเถอะหนึ่งพันบาทและเงินพันบาทนี้ ถ้าหากยืมไปแล้วสามารถเอามาใช้คืนได้ก็เอามาคืน จะได้ไว้ช่วยพรรคพวกคนอื่นๆ ต่อไป แต่ถ้าไม่สามารถเอามาคืนได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องหลบลี้หนีหน้าไป เพราะถือว่าได้ยกให้แล้ว และถ้าอยากจะได้เงินให้ครบหมื่น ก็ไปหาพรรคพวกที่มีน้ำใจอย่างฉันนี้อีก 9 คน ก็จะได้เงินครบหมื่นตามต้องการ...

เพื่อนของโยมพ่อคนนี้หายหน้าหายตาไปเป็นปี วันหนึ่งเขาก็เอาเงินมาคืน และพยายามให้ดอกเบี้ยกับโยมพ่อ แต่โยมพ่อไม่รับ แต่บอกให้เขานำเงินที่เขาคิดว่าเป็นดอกเบี้ยนี้ไปฝากธนาคาร  เผื่อว่าเพื่อนคนอื่นๆ เดือดร้อน เขาจะได้ช่วยเหลือต่อๆ ไปอีก

เมื่อโยมพ่อควักเงินให้ใคร ท่านมักคำนึงว่า
1.ไม่ทำให้ท่านและครอบครัวเดือดร้อน
2.ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่คิดจะช่วยจริงๆ

โยมพ่อจะไม่ให้ใครยืมเงิน ถ้าให้ก็ให้ไปเลย เพราะฉะนั้นบ้านเราจะไม่เคยไปทวงหนี้ใคร และไม่เคยให้ใครมาทวงหนี้เรา ทั้งไม่เสียชื่อและไม่โกหกใคร ตลอดชีวิตจึงไม่เคยได้ยินท่านบ่นเลยว่าทำดีไม่ได้ดี  
เรื่องที่ 13 ทัศนคติในการทำบุญ

โยมพ่อเคยอยู่ในตระกูลมั่งมีมาก่อน แล้วยากจนลงภายหลังจึงสร้างฐานะได้ใหม่ ดังนั้น ถึงแม้จะเคยบวชเรียนมาบ้าง แต่เนื่องจากความตระหนี่ยังมีอยู่มาก ท่านจึงไม่ค่อยได้ทำบุญให้ทานบ่อยครั้งเหมือนโยมแม่และเมื่อจะทำบุญแต่ละครั้ง จะต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ทรัพย์สินเงินทองที่จะบริจาคไปนั้น จะต้องไม่มีการตกหล่นรั่วไหล จึงมีบ่อยครั้งที่ท่านทั้งทำบุญทั้งคอยจับผิดคนอื่นและบางทีทำบุญไปแล้ว ยังนึกเสียดายในภายหลัง กว่าจะแก้นิสัยอันนี้ได้ก็เมื่อถึงบั้นปลายชีวิตอายุเกือบ 80 ปีเข้าไปแล้ว

ด้วยผลกรรมที่ทำไว้นี้ ทำให้ชีวิตในวัยชราของท่าน แม้จะมีทรัพย์เพียงพอก็ไม่ยอมใช้จ่ายอย่างเต็มที่ เช่น แม้ลูกๆ จะจัดหาเสื้อผ้าดีๆ มาให้ ก็ไม่ยอมใช้ เอาไปเก็บไว้อย่างดีเพราะเสียดายทนใช้แต่ของเก่าๆ ปุๆ ปะๆ อยู่อย่างนั้น แม้เวลาป่วยไข้ ถ้ารู้ว่ายารักษาโรคขนานใดราคาแพง ท่านก็จะไม่ยอมให้ลูก ๆ ซื้อหาให้ท่าน แม้ลูกๆ จะพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง

ที่นำมาเล่านี้ ไม่มีเจตนาที่จะประจานท่าน แต่หวังจะให้เป็นข้อคิดสำหรับพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น และหากท่านใดจะพึงได้ประโยชน์จากตัวอย่างต่างๆ ของโยมพ่อของอาตมา เมื่อเวลาไปทำบุญก็โปรดนึกอุทิศส่วนบุญให้แก่ท่านผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย  




เรื่องที่ 14 ความเด็ดขาด

ความระมัดระวังตัวเป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยป้องกันการกระทบกระทั่งกันได้ แต่การฝึกให้เป็นคนมีความระมัดระวังตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ถึงกระนั้นโยมพ่อก็มีวิธีฝึกลูกๆ ให้มีความระมัดระวังตัวได้ เพราะด้วยนิสัยเด็ดขาดของท่าน

สมัยที่อาตมาไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ความที่เป็นห่วงลูก ท่านอุตส่าห์เขียนจดหมายถึง 3 ฉบับติดต่อกัน  แต่อาตมาก็ยังไม่ได้ตอบ เพราะเป็นคนไม่ชอบเขียนจดหมาย ทั้งขณะนั้นก็ยังปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ไม่ดี จึงคิดเกรงว่า ถ้าตอบจดหมายไปตามความเป็นจริง โยมพ่อก็จะเป็นห่วง ครั้นจะเขียนตอบแบบลมเพลมพัดเรื่อยเปื่อยไม่มีสาระอะไร ก็อายเขา โยมพ่อก็คงไม่ชอบ ดังนั้นจึงยังไม่ตอบ

จดหมายฉบับที่ 4 โยมพ่อท่านเขียนส่งมา มีข้อความสั้นๆ ว่า

“ลูกรักถ้ายังไม่ตาย ตอบจดหมายพ่อด้วย”

แม้ได้รับจดหมายฉบับนั้นแล้ว อาตมาก็ยังไม่ได้ตอบจดหมายท่าน ตั้งแต่นั้นมาโยมพ่อจึงไม่ส่งจดหมายไปถึงอาตมาอีกเลย ทำเหมือนได้ตายจากกันแล้วจริงๆ

ตอนนั้น อาตมาก็ยังไม่ได้นึกอะไร คิดว่าไม่เป็นไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีความสำนึกขึ้นว่า กับผู้มีพระคุณครูบาอาจารย์เราต้องมีความระมัดระวังตัวให้มาก ทำอะไรก็ต้องคอยสังเกตว่าท่านรู้สึกอย่างไร กระทบกระเทือนอะไรท่านไหม ท่านชอบหรือไม่ ท่านเตือนก็ต้องฟังแล้วรีบปรับปรุงแก้ไข อาตมารู้สึกเกรงความเด็ดขาดของท่าน ถ้ามัวประมาทคิดว่าไม่เป็นไร ท่านเด็ดขาดตัดเยื่อใยกันจริงๆ แล้วเราจะแย่

และนิสัยความเด็ดขาดของโยมพ่อนี้ ก็ถ่ายทอดมายังอาตมาทำให้เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้ว จะไม่มีความลังเล และต้องทำอย่างเต็มที่และเต็มใจ  
เรื่องที่ 15 ความเป็นผู้มีเหตุผล

คนส่วนมากอยากจะให้ลูกเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ถ้าลูกจะบวชตลอดชีวิต ก็มักไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าลูกมีแววว่าจะมีความสำเร็จ มีความก้าวหน้าทางโลกมากเท่าไร ยิ่งไม่อยากให้บวชมากขึ้นเท่านั้น

โยมพ่อก็เช่นกัน เมื่อได้ทราบข่าวว่าอาตมาเข้าวัดไปศึกษาธรรมะฝึกสมาธิกับคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และหลวงพ่อธัมมชโย ครั้งแรกท่านก็ดีใจว่า ลูกจะมีคุณธรรมสูงยิ่งขึ้น แต่เมื่อทราบว่าลูกจะบวชตลอดชีวิต ท่านก็รู้สึกไม่ค่อยถูกใจ

ยังจำได้แม่นยำว่า วันที่มากราบเท้าขอลาบวช ท่านก็ดีใจแต่เมื่อท่านถามว่า
“จะบวชนานเท่าไร”

พออาตมาตอบว่า “จะบวชตลอดชีวิต”

ท่านก็อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็พยายามยกเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมให้อาตมาเปลี่ยนความคิดว่า

“ปู่ของเจ้ามีลูกชายคนเดียวคือ พ่อ และพ่อมีลูกชายคนเดียว คือเจ้า ถ้าเจ้าบวชไม่สึก สกุลเราคงด้วนแค่นี้ คิดให้ดีนะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น เหมือนคำตอบผุดขึ้นมาในใจ จึงตอบท่านไปทันทีว่า

“สกุลของเรา ถ้าแม้จะมีเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นคน มันก็ไม่ทำให้โลกนี้ แผ่นดินนี้ดีใจหรือเสียใจหรือถึงสกุลของเราจะด้วน จะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ โลกนี้แผ่นดินนี้ มันก็คงเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายกับเรา

วันหนึ่ง จะต้องมีคนเลวหลงเข้ามาเกิดในสกุลของเราจนได้ และเมื่อถึงวันนั้น แม้เราจะตายไปแล้ว ก็คงมีคนด่าตามหลังว่า คนในสกุลนี้แย่จริงๆ

ตรงกันข้าม ถ้าสกุลของเราจะสิ้นสุดลงไป ในขณะที่ทุกคนเป็นคนดีหมด ก็รับรองได้ว่า ไม่มีใครด่าเราตามหลัง จะมีแต่คนบ่นเสียดายว่า สกุลเรานี้ไม่น่าหมดไปเลย น่าจะมีคนดีๆ เพิ่มขึ้นอีก เพราะฉะนั้นให้มันด้วนไปแค่นี้ดีกว่า”

พอได้ฟังเหตุผลอย่างกระจ่างแจ้งทันควันเช่นนี้ ท่านก็เงียบและไม่พูดอะไรอีกเลย ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ยอมรับว่าถูกต้องแม้ไม่ถูกใจ

หลังจากนั้นมาอีกประมาณ 3 วัน อาตมาได้ออกไปธุระนอกบ้าน หลวงพ่อธัมมชโยได้มาเยี่ยมและคุยกับโยมพ่อ เมื่ออาตมากลับมา ได้ยินโยมพ่อกล่าวกับหลวงพ่อธัมมชโยว่า

“ในงานบวช จะให้ผู้เป็นพ่อทำอะไรบ้าง”

เสียงหลวงพ่อธัมมชโย ตอบว่า

“ไม่ต้องทำอะไร ตั้งใจอนุโมทนาก็แล้วกัน แล้วโยมพ่อต้องไปในพิธีบวชให้ได้นะ”
อาตมาได้ยินเท่านั้นก็รู้สึกสบายใจ เพราะโยมพ่อคงอนุญาตให้บวชแน่ๆ แล้ว นี่ก็แสดงว่า โยมพ่อของอาตมายอมรับเหตุผล ถ้าเป็นเหตุผลที่ถูกต้องและเหตุผลที่ดี

ผลจากการมีคุณสมบัติในการเป็นคนยอมรับฟังเหตุผลของโยมพ่อดังกล่าว จนเป็นตัวอย่างถ่ายทอดมายังบรรดา ลูกๆ จึงนับได้ว่า เป็นการสอนของโยมพ่ออีกแบบหนึ่ง
เรื่องที่ 16 กว่าจะรู้ว่าพ่อรัก

ตั้งแต่โยมพ่อมีอายุประมาณ 50 ปี เป็นต้นมา ท่านเริ่มมีสุขภาพไม่ค่อยดี ท่านจึงอบรมลูกโดยการฝึกงานให้ทุกชนิด เผื่อว่าท่านจะเป็นอะไรไปในเวลากะทันหันลูกๆ จะได้ช่วยตัวเองกันได้

ไม่ว่างานในสวน ในไร่ ในบ้านเรือนทุกอย่าง ท่านเริ่มฝึกให้อย่างหนักขึ้น โดยเฉพาะอาตมาซึ่งเป็นลูกชายโดนเข้มงวดมากเป็นพิเศษ จนแทบไม่ค่อยมีโอกาสได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กอื่นๆ มีแต่งาน งาน และงาน และเมื่อทำอะไรผิดพลาดก็จะต้องถูกลงโทษ เลยทำให้เกิดความรู้สึกทั้งเกรงและกลัวโยมพ่อ แม้บางครั้งอาตมาจะไม่นึกรักท่าน แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดท่าน ในตอนนั้นก็ไม่คิดหรือเข้าใจว่า ใจของเราที่มีต่อโยมพ่อเช่นนั้น จะถูกหรือผิด

ต่อเมื่อมีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย จึงรู้สึกซาบซึ้งในความรักความห่วงใยของท่านที่มีต่ออาตมา เพราะรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ใช้ระบบอาวุโสอย่างเคร่งครัดดุเดือดอยู่ไม่น้อย เพื่อนคนอื่นๆ พากันเดือดร้อนกับระบบนี้ แต่สำหรับอาตมารู้สึกธรรมดา เพราะเคยมีประสบการณ์มาจากโยมพ่อ

ดังนั้น ในการทำงานหรือทำกิจกรรมร่วมกันกับรุ่นพี่ จึงมักได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นแม่งานสั่งงานเองได้ ซึ่งโดยธรรมดานักศึกษาที่เป็นน้องใหม่ทั่วไปจะไม่มีโอกาสเช่นนั้น นี่ก็เป็นผลมาจากการฝึกลูกๆ ของโยมพ่อ

ความรู้สึกรักและเข้าใจโยมพ่อมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ประทับใจอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อตอนใกล้จะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย พวกเราได้ชักชวนกันไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ณ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น มีเด็กอยู่ประมาณ 100น ส่วนใหญ่อายุราว 3-4 ขวบ พอเขาเห็นพวกเราไป ก็วิ่งกรูกันเข้ามา เพื่อแย่งกันให้พวกเราอุ้ม และเรียกนิสิตชายว่า “พ่อ” เรียกนิสิตหญิงว่า “แม่” ถึงกับทำให้นิสิตหญิงบางคนอายจนหน้าแดงไปก็มี

ได้เห็นพวกเด็กๆ เหล่านั้นแล้วรู้สึกสลดใจ แววตาของพวกเขาเลื่อนลอยเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจไร้ความหวัง ไร้ที่พึ่ง ขาดความอบอุ่น ในการแจกเสื้อผ้า หากได้กันไม่ครบทุกคน คนที่ไม่ได้ก็จะยื้อแย่งเอาจากเด็กคนอื่น จนถึงกับเสื้อผ้าฉีกขาดเพราะความอิจฉา เวลากินอาหารก็แย่งกันกิน ทำให้วินิจฉัยได้ว่าเด็กเหล่านี้มีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนเด็กทั่วไปที่เขามีพ่อมีแม่

สมัยที่เราเป็นเด็ก เรารู้สึกว่าเด็กๆ ข้างบ้านล้วนเป็นเพื่อนเล่นของเรา และเราก็อยากมีเพื่อนมากๆ เพื่อจะได้เล่นกันให้สนุกไม่เคยมีพฤติกรรมเหมือนเด็กเหล่านี้เลย ที่เป็นเช่นนั้นคงจะเป็นเพราะท้องเราอิ่ม เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็พร้อม ความอบอุ่นจากพ่อแม่ก็มี

พวกเด็กๆ กำพร้าเหล่านั้นกลับมีความรู้สึกตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเราเมื่อตอนเด็ก เพราะเขาอาจจะคิดว่า ทุกคนที่อยู่ร่วมกันเป็นร้อยนั้นไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นศัตรู ที่มาแย่งเสื้อผ้า อาหาร และแย่งคนที่จะมาอุ้มเพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสเรียกว่า “พ่อ” หรือ “แม่” นั่นเอง




เห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ทำให้นึกถึงเมื่อตอนเป็นเด็กขณะนั้นมีสงครามโลกครั้งที่ 2 พอเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้น โยมพ่อจะไม่เอาอะไรเลย นอกจากคว้าตัวอาตมามาอุ้มไว้ โยมแม่ก็รีบจูงพี่ๆ พากันลงหลุมหลบภัย อะไรๆ ท่านไม่ต้องการ ขอแต่ให้ลูกๆ ปลอดภัยเท่านั้น

ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าอาตมาจะไปไหนก็คิดถึงแต่โยมพ่อ และคิดพยายามตอบแทนพระคุณของท่านอยู่เสมอมา และเมื่อมีโอกาสได้บวช ก็ตั้งใจชวนท่านให้ทาน รักษาศีลเจริญภาวนาอย่างเต็มที่

โบราณท่านว่า ไม่ว่าพ่อแม่นั้นจะเลี้ยงดูเราหรือไม่ก็ตาม อุปมาว่า

ถ้าใช้ภูเขาสูงเยี่ยมเทียมเมฆมาแทนปากกา ท้องฟ้าแทนกระดาษ น้ำหมึกหมดมหาสมุทรทั้งสี่แทนหมึก เขียนประกาศพระคุณของพ่อแม่ เขียนจนกระทั่งภูเขาคือปากกาสึกเหี้ยนไปแล้ว ตัวอักษรก็เต็มท้องฟ้าอันกว้างใหญ่แล้ว แม้กระนั้นก็ยังสรรเสริญพระคุณของพ่อแม่ยังไม่หมดสิ้น
เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครๆ ในโลกจะเขียนพรรณนาพระคุณของพ่อแม่สักเท่าใด ก็เป็นเพียงเสี้ยวธุลีหนึ่งแห่งคุณความดีเท่านั้น

เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็เช่นกัน เป็นประวัติส่วนหนึ่งของโยมพ่อของอาตมา ผู้เป็นครูชีวิตคนแรกอบรมฝึกฝนให้อาตมารู้จักโลก รู้จักชีวิต รู้จักการทำงาน วางพื้นฐานนิสัยใจคอให้เป็นอย่างดี จนทำให้อาตมาใฝ่ดี และกุศลได้ส่งให้อาตมาได้มารู้จักกับหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และได้มาบวชอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้

พระคุณของพ่อแม่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า
.............................................

ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตนประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำ และให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง 100 ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด

ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องผ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึกเขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษรภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด

การตอบแทนคุณท่าน
...................................

1.เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชราดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย

2.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ

แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที ต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้

ถ้าท่านไม่ถึงพร้อมด้วยการทำทาน
พยายามชักนำให้ท่านได้ทำทาน
ถ้าท่านยังไม่มีศีล
พยายามชักนำท่านให้รักษาศีล
ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา
พยายามชักนำท่านให้ทำสมาธิภาวนา





พระธรรมเทศนา...โดยหลวงพ่อทัตตชีโว
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก

จากพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตชีโว ที่ท่านถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงที่ท่านได้รับการอบรมเลี้ยงดูบ่มเพาะนิสัยจากโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์มาแต่เยาว์วัย ทำให้รู้สึกว่าโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์ ท่านเป็นสุดยอดนักปราชญ์เป็นทั้งต้นบุญต้นแบบในการนำหลักธรรมนำมาฝึกสอนลูกให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดีเป็นคนดีที่โลกต้องการ 


ทำให้ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายมีบุญได้มีครูบาอาจารย์ที่สร้างบารมีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สั่งสอนศิษย์ทุกคนดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุขและปลอดภัยในสังสารวัฏ และมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายขจรขจายไปสู่หัวใจชาวโลกเพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ดังเช่นหลวงพ่อทัตตชีโวครูผู้มีมหากรุณาต่อศิษย์ทุกคน  


ขอกราบแทบเท้ากราบเทอดพระคุณประกาศคุณโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์ โยมพ่อผู้มีพระคุณผู้เป็นครูคนแรกของหลวงพ่อทัตตชีโวมาด้วยความเคารพอย่างสูงสุด กล่าวได้เลยว่าไม่มีโยมพ่อสุน ผ่องสวัสดิ์ ก็จะไม่มี หลวงพ่อทัตตชีโว (พระเผด็จ ผ่องสวัสดิ์)ครูผู้มีแต่ให้สิ่งดีๆและครูผู้มีพระคุณแก่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกคน

ท้ายที่สุดและสุดท้ายนี้ขอเรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ร่วมแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อหลวงพ่อทัตตชีโว   ได้ออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรเชิญชวนชายแมนแมนมาบวชเพื่อน้อมถวายบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวในวาระวันคล้ายวันเกิดท่าน วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562  อายุครบ 79 ปี กันนะคะ 

ตามกำหนดการพิธีอุปสมบทหมู่ บูชาธรรม 79 ปี หลวงพ่อทัตตชีโว ด้านล่างนี้นะคะ


กำหนดการพิธีอุปสมบทบูชาธรรม79 ปี หลวงพ่อทัตตชีโว   

ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู
ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของศิษย์ดีและคนดี
ขอกราบอนุโมทนาบุญล่วงหน้าต่อยอดกัลยาณมิตรผู้ออกไปทำหน้าที่ชวนชายแมนแมนมาบวชมา ณ โอกาสนี้ สาธุค่ะ










วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

กว่าจะรู้ว่าพ่อรัก...ตอนที่ 3







เรื่องที่ 7 นิสัยชอบเที่ยวกลางคืน

ในชนบทสมัยที่อาตมายังเป็นเด็ก โอกาสที่จะดูหนัง ดูลิเกนั้นไม่ค่อยมีบ่อยนัก นานๆ จะได้ดูหนังกลางแปลงสักที บางครั้งก็เป็นพวกหนังขายยา แต่เมื่อไรที่มีเทศกาลมีการฉายหนังเล่นลิเกติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน หรือ 7 วัน 7 คืน อาตมาเป็นต้องไปเที่ยวติดต่อกันครั้งละ 2-3 ซึ่งโยมพ่อ ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ห้าม ท่านใช้วิธีอย่างนี้ คือ

ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอม ท่านก็จะปลุกตีสี่ครึ่ง ให้ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ โดยให้อ่านดัง ๆ ท่านจะนอนฟัง ถ้าเห็นเงียบเสียงไปท่านก็จะตะโกนถามมาจากในมุ้ง
แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม โยมพ่อจะปลุกอาตมาตั้งแต่ตี 4 ครึ่งเหมือนกัน ให้ช่วยโยมแม่หาบขนมไปส่งที่ตลาดกว่าจะกลับบ้านก็ประมาณ 6 โมงเช้ารุ่งอรุณพอดี ท่านก็ใช้ให้ไปขุดดินฟันหญ้าต่อ จนกระทั่งใกล้ 8 โมง จึงไปเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่แล้วค่อยกินข้าวเช้า

โดยทั่วไปคนที่ไปดูหนังกลางแปลง จะกลับอย่างเร็วก็ร่วมสองยาม บางทีก็เกือบสว่าง ท่านก็ไม่ว่า แต่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง ทำงานในไร่ เที่ยวน่ะเที่ยวได้ แต่งานต้องไม่เสีย

ดังนั้น ถ้าวันไหนเที่ยวโต้รุ่ง ก็ต้องออกไปทำไร่ต่อเลยบางทีถึงกับยืนหลับทั้งๆ ที่กำลังขุดดินอยู่ก็มี เป็นการฝึกให้เรารู้จักประมาณ แก้นิสัยชอบเที่ยวดึกๆ ได้ชะงัดนัก

จากการที่ถูกโยมพ่อเคี่ยวเข็ญมามาก เพราะฉะนั้นเมื่อโตขึ้นจึงทำงานอดหลับอดนอนเท่าไรก็ได้ ไม่กลัวงานหนัก เป็นการฝึกความรับผิดชอบอย่างดีทีเดียว





เรื่องที่ 8 ฝึกลูกให้เห็นการณ์ไกล

ในขณะที่อาตมากำลังเรียนหนังสือ อยู่ชั้น ป.4 โยมพ่อป่วยเป็นโรคระบบทางเดินอาหารอย่างแรง เวลาปวดท้องแต่ละครั้ง นอนตัวงอน่าสงสารมาก ต้องรับประทานยาทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง ท่านบอกลูกๆ ว่าเป็นโรคอย่างนี้จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา 3 วันดี 4 วันไข้ ถ้าพ่อตายในวันนี้ ลำพังแม่คนเดียวคงส่งเสียให้เรียนได้แค่ชั้น ม.6 แต่พ่ออยากให้ลูกเรียนจบถึงขั้นมหาวิทยาลัย โยมพ่อจึงสั่งอาตมาว่า

นับแต่นี้ต่อไป ทุกวันหยุด วันโกน วันพระ อย่าไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ต้องรีบเตรียมตัวหาเงิน ให้อาตมาเพาะทั้งมะม่วง ขนุน มะพร้าว พอเข้าหน้าฝน ท่านก็ขุดหลุมทิ้งไว้ให้ แล้วสอนให้ปลูกเอาเอง และให้รดน้ำดูแลทุกวันโกน วันพระ (สมัยนั้น หยุดเรียน วันโกน วันพระ)

ครั้นพออยู่ ม.4-ม.5 มะม่วง ขนุน มะพร้าว ก็เริ่มออกดอกออกผล โยมพ่อก็ยังแข็งแรงดีอยู่ โยมพ่อก็เก็บผลไม้ส่งขายจนลูกๆ เรียนจบชั้นมัธยม ท่านก็ยังแข็งแรงและก็ได้อาศัยผลไม้ในสวนนี่แหละเป็นทุนส่งลูกๆ เรียนจนจบมหาวิทยาลัย

แม้เมื่ออาตมาออกบวช โยมพ่อโยมแม่ก็ไม่เดือดร้อน เพราะได้อาศัยรายได้จากผลไม้ ที่ท่านให้ลูกๆ ปลูกไว้ ทำให้อาตมาบวชได้ โดยไม่ต้องกังวล

นี่คือการฝึกให้ลูกรู้จักมองการณ์ไกล รู้จักเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับเผชิญเหตุการณ์ในอนาคต  




เรื่องที่ 9 เลิกความพยาบาทเพราะรักลูก

นิสัยพยาบาท อาฆาต จองเวรกันนั้น เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ยากที่จะแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถูกคนเนรคุณทำร้ายยิ่งเลิกได้ยากนัก แต่ปรากฏว่าด้วยความรักลูก โยมพ่อก็สามารถทำได้

เรื่องมีอยู่ว่า โยมพ่อเคยมีปัญหาเรื่องที่ดินกับเพื่อนบ้านจนถูกปองร้ายเอาชีวิต โยมพ่อคิดจะแก้แค้นเป็นการตอบแทน แต่เมื่อคิดถึงลูก เกรงว่าลูกจะขาดที่พึ่ง จึงตัดสินใจเลิกล้มความอาฆาต พยาบาท จองเวร โดยถือเสียว่า กรรมใดใครก่อน คนก่อก็รับกรรมไปเอง  




เรื่องที่ 10 พ่อกับคู่ครองของลูก

โดยหลักธรรมตามประเพณีไทย เมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีอายุพอสมควร พ่อแม่ก็จะมีส่วนในการจัดหาคู่ครองให้

สำหรับโยมพ่อนั้น ท่านให้เกียรติลูกชายของท่านในการเลือกคู่ครองอย่างเต็มที่ แต่ท่านก็มีวิธีการตักเตือนแบบเฉียบขาดไม่เหมือนใคร คือ เมื่ออาตมาจบการศึกษาใหม่ๆ ก็คิดจะแต่งงานเหมือนคนอื่นๆ เขา เพราะได้หมายตาผู้หญิงคนหนึ่งไว้แล้ว แต่ความที่มีนิสัยเกรงกลัวโยมพ่อมาแต่เล็กๆ จึงได้พาว่าที่ลูกสะใภ้มาให้โยมแม่ดูก่อน โยมแม่ก็ชอบๆ อยู่ แต่โยมพ่อซึ่งเป็นคนละเอียดรอบคอบ ท่านสังเกตดูนิสัยใจคอของทั้งสองฝ่ายแล้ว รู้สึกว่าจะไปด้วยกันไม่ได้แน่ แต่แทนที่ท่านจะห้ามตรงๆ ท่านกลับพูดให้คิดตาม คือวันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว ท่านพูดว่า

“ลูกผู้ชายจะมีเมียสักคนน่ะไม่ยาก แต่ที่ยากคือการหาแม่ดีๆ ให้ลูก เพราะแม่บางคนลูกยังไม่อยากเรียกว่าแม่ เพราะกลัวขายหน้า... ผู้หญิงก็เหมือนกันจะหาผัวสักคนไม่ยาก แต่ที่ยากคือ จะหาพ่อดีๆ ให้ลูกเจอทีไรก็มีแต่ขี้เหล้าเจ้าชู้ จะเป็นพ่อที่ดีได้อย่างไร”

แล้วท่านก็พูดย้ำอีกว่า “มีลูกน่ะไม่ยากแต่การเป็น พ่อแม่ ที่ดี ๆ น่ะซียาก” ท่านได้เตือนว่า จะแต่งงานแต่งการ ให้ดูทั้งเขาทั้งเราให้ดีโดยเฉพาะตัวเรา ให้ถามตัวเองเสียก่อนว่า

“ถ้ามีเมียวันนี้ มีลูกวันนี้ จะมีธรรมะข้อไหนมาสอนเขาให้เป็นคนดี เพราะถ้าจะเอาแค่เลี้ยงลูกให้โตน่ะไม่ยาก แต่เลี้ยงให้เป็นคนดีนี่ยาก เพราะฉะนั้น ให้ไปคิดดู ให้ดีๆ สัก 7 คืน ถ้าคิดว่า จะมีธรรมะดีๆ มาสอนเขาก็เอา แต่ถ้าคิดว่ายังหาไม่ได้ก็อย่าเพิ่งแต่ง เรื่องนี้ให้ไปตัดสินใจเอาเอง ไม่อย่างนั้น วันหลังจะมาหาว่าพ่อกีดกัน

อาตมานอนคิดอยู่คืนหนึ่ง ก็ได้คำตอบว่า ไม่รู้จะเอาอะไรไปสอนเขา ก็เลยตัดสินใจเข้าวัดศึกษาธรรมะ ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาไว้สอนลูกสอนเมีย แต่เมื่อมาพบหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ก็ได้ท่านชี้ทางถูกให้ ได้ความเข้าใจพื้นฐานว่า

“ดื้อที่สุดในโลก สอนยากที่สุดในโลกนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนที่แท้คือตัวเราเอง ทั้งที่รู้ว่าไม่ดี ก็ยังขืนทำก็มี และยิ่งถ้าทำไปโดยไม่รู้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่”

ศึกษาไปศึกษามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฝึกสมาธิมากเข้าๆ ก็เลยคิดบวชเสียเลย จากคำสอนต่างๆ เหล่านี้ของโยมพ่อเมื่อสอบสวนทวนความดูภายหลังก็ตระหนักว่า

ความแตกร้าวในสังคมทั้งหลายนั้น เกิดขึ้นจากการที่ไม่ได้เตรียมตัวเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดี ไม่ได้ตระเตรียมเป็นสามีภรรยาที่ดี เห็นว่าหล่อ ว่าสวย ว่ารวย มีรสนิยมเกะๆ กะๆ พอไปกันได้ก็แต่งกันไป แต่งแล้วจะเป็นอย่างไรก็ไม่คิด จึงเกิดปัญหาตามมาอยู่เรื่อยๆ

เรื่องที่ 11 โอวาทเมื่อออกจากบ้าน

คนเราแม้จะมีความเฉลียวฉลาด
เพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นคนทำงานแบบขอไปที
ทำแบบพอผ่านลวกๆ ชาตินี้ก็ยากที่จะเอาดีได้

ดังนั้น พ่อแม่ ที่ฉลาดเห็นการณ์ไกล จะฝึกลูกให้เป็นคนที่ถ้าทำอะไรแล้ว จะต้องทำให้ดีที่สุด

โยมพ่อของอาตมาก็มีลักษณะเช่นนี้ ตั้งแต่อาตมายังเล็กๆ งานที่ทำทุกอย่าง จะต้องเรียบร้อย ทำอย่างดีไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษ โดยโยมพ่อจะคอยดูอย่างใกล้ชิด

เมื่อวันที่จะออกจากบ้านไปเรียนต่อชั้น ม.7 – ม.8 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร โยมพ่อก็ให้โอวาทสั้นๆ ตามประสาชาวบ้าน ซึ่งก็ไม่เข้าใจหลักธรรมอะไรลึกซึ้งมีแต่ความจริงใจ ท่านพูดสั้นๆ ว่า

“เมื่อก่อนอยู่บ้านพ่อก็ตามดูทุกฝีก้าว ผิดชอบ ชั่วดีอย่างไร ก็ว่ากล่าวตักเตือนเคี่ยวเข็ญกัน นี่จะไปเรียนกรุงเทพฯ เจ้าต้องดูแลตัวเอง พ่อก็จะไม่พูดอะไรมากล่ะ แต่ขอฝากเอาไว้ว่า ถ้าจะทำอะไรแล้ว อย่าไปทำเหลาะแหละ แต่จงทุ่มให้สุดตัว

พ่อเองก็ไม่รู้หรอกว่า นรก-สวรรค์มีจริง บาปบุญมีหรือไม่ ไม่กล้ายืนยันแต่ถ้าเจ้าคิดว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรก สวรรค์ไม่มี อยากจะไปเป็นโจร พ่อก็ไม่ว่า แต่ว่าอย่าไปเป็นโจรกระจอกงอกง่อย ตีชิงวิ่งราวให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ไหนๆ จะเป็นโจรทั้งที ก็ให้เป็นมหาโจรนามกระเดื่องไปเลย

ถ้าคิดว่าบาปมี บุญมี นรก-สวรรค์มี จะบวชก็เอา แต่ถ้าจะบวชก็อย่าคิดบวชไปวันๆ บวชทั้งทีก็ให้เป็นสังฆราชไปเลย”

ตอนนั้นใจอาตมาเอง ก็ไม่คิดจะเป็นโจร แล้วก็ไม่คิดจะบวชคิดแต่เพียงว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรถ้าไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือส่วนรวมแล้ว ก็จะไม่ทำแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร

ต่อมาเมื่อเรียนอยู่คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ปีที่ 4 ได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ออสเตรเลีย จึงไปขออนุญาตโยมพ่อท่านถามว่า

“คิดดีแล้วหรือ ทำไมไม่เรียนให้จบจากเมืองไทยเสียก่อน ถ้าไปแล้วเรียนไม่จบจะทำอย่างไร” อาตมาตอบท่านไปว่า

“ลูกพ่อทำอะไรต้องสำเร็จให้ได้ คิดดีแล้วว่าควรไป” ท่านก็ตอบว่า

“งั้นก็ไป”

วันขึ้นเครื่องบิน ท่านก็มาส่งและยื่นกระดาษให้ แผ่นหนึ่งบอกให้ไปเปิดดูที่ออสเตรเลีย เมื่อเปิดดูพบมีข้อความสั้นๆ ว่า

“ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา”

นั่นคือธรรมะจากโยมพ่อที่ฝากไปแดนไกล

อาตมาถูกโยมพ่อฝึกมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อบวชเป็นพระทำงานเผยแผ่พระศาสนา มาพบหลวงพ่อธัมมชโย คุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ได้รู้เป้าหมายชีวิตว่า เกิดมาเพื่อสร้างความดี ตามแบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงทำงานอย่างทุ่มสุดตัว ขอให้ทราบเถิดว่า หลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ต้องการอะไร อาตมาเป็นต้องทุ่มสุดตัวทำเต็มที่ ไม่ลังเลเพราะเชื่อตามคำสอนของโยมพ่อ




พระธรรมเทศนา...โดยหลวงพ่อทัตตชีโว
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก

ท้ายที่สุดนี้เรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ออกไปทำหน้ากัลยาณมิตรเชิญชวนชายแมนแมนผู้มีบุญมาบวช เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา และบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวในวาระวันคล้ายวันเกิด 21 ธค. 62 อายุครบ 79 ปี กันนะคะ


กำหนดการอุปสมบทหมู่ บูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโว


ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู
ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุค่ะ

กว่าจะรู้ว่าพ่อรัก...ตอนที่ 2



จากความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับโยมพ่อ ยังมีเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีก คือ


เรื่องที่ 1 รักษาโรคกลัวผี

เมื่ออาตมายังเล็ก ลุง ป้า น้า อา ทั้งหลายชอบเล่าเรื่องผีให้ฟังอยู่บ่อย ๆ จึงกลัวผีมาก ไม่กล้านอนคนเดียว เวลาค่ำมืด ไม่ยอมออกไปไหนเด็ดขาด แม้แต่เสียงแมวหง่าวร้อง ก็กลัวแทบขาดใจได้ยินเสียงหมาหอนทีไรนอนกอดแม่ตัวกลมทุกที หรือพอตุ๊กแกร้องก็ผวา

โยมพ่อมีวิธีแก้นิสัยขี้กลัวนี้อย่างไร

เวลากลางวัน โยมพ่อมักออกไปตัดกล้วยในไร่ ซึ่งมีหญ้ารกทึบแล้วกองสุม ๆ ไว้ ตอนกลางวัน ๆ ท่านก็ไม่ใช้ให้ไปขน กลับมาใช้ตอนโพล้เพล้ อาตมากลัวผีก็กลัว แต่กลัวพ่อมากกว่า เลยไม่กล้าขัดคำสั่ง จำต้องแข็งใจไป นานเข้าก็เลยรู้ความจริงว่า เสียงต่าง ๆ ภาพต่าง ๆ ที่เราเห็นนั้น มันเกิดจากกิ่งไม้หักบ้าง กระรอก กระแต วิ่งบ้าง ก็เลยหายกลัว

เรื่องหมาหอนแมวร้อง ท่านก็แก้ด้วยการให้เอาไฟฉายไปส่องดูแล้ว ก็ได้รู้ว่าที่แท้เป็นหมาเป็นแมวที่เราเล่นกับมันอยู่ทุกวันนั่นเอง ไม่ใช่ผีสางอะไร ความกลัวก็เลยหายไป

ตุ๊กแกที่เคยได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัวมัน ในเวลากลางวัน วันหนึ่งท่านเอาปูนแดงผสมยาฉุนปั้นเป็นก้อนเสียบปลายไม้แหย่เข้าไปในโพรงที่อยู่ของมัน มันก็งับทันทีสักพักก็เมาหล่นตุ้บลงมา พอเห็นว่ามันไม่มีพิษสงอะไร ก็เลยรู้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว


เรื่องที่ 2 ปราบผีตะเคียน

ที่หน้าบ้านของอาตมา มีต้นตะเคียนใหญ่อยู่ต้นหนึ่งชาวบ้านชอบมาขอหวยอยู่เป็นประจำ โดยเอามีดมาถากเปลือกตะเคียนออกแล้วเอานิ้วหัวแม่มือขัดถู เนื่องจากถูเร็ว ๆ ตาลายบ้าง บางทีคนที่ถูอาจจะเห็นลายไม้เป็นตัวเลขก็ได้ และเมื่อมีคนมาขอหวยกันมากคนเข้า ก็มีคนถูกหวยบ้าง (สมัยนั้นเล่นหวย ก.ข.) จึงลือกันว่าผีตะเคียนให้หวยแม่น

ต่อมาไม่นาน มีคนมาผูกคอตายที่ต้นตะเคียนจึงเกิดข่าวลือ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของต้นตะเคียนยิ่งขึ้นไปอีก เลยกลายเป็นที่ชุมนุมของนักพนัน มีคนเอาผ้าแดงมาคาดต้นตะเคียนบ้าง มาตั้งศาลเจ้าบ้าง ทำให้ดูน่าเกรงกลัวซ้ำพวกที่มาขอหวย ยังชอบคุยเรื่องผีให้ฟังกันอยู่เรื่อย ๆ เรายิ่งกลัวกันใหญ่

โยมพ่อเห็นว่าท่าไม่ดีจึงหาวิธีแก้ไข กล่าวคือ ทุก ๆ วันเมื่อกลับจากไร่ ท่านจะเอาฟืนมาโยนไว้ที่โคนต้นตะเคียนคราวละดุ้นสองดุ้นไม่ให้เป็นที่สังเกต ครั้นมีกองฟืนรอบโคนต้นมากพอแล้ว ท่านก็จุดไฟเผาต้นตะเคียนทันที ไม่เห็นผีตะเคียนที่ไหนมาทำอะไรท่านเลย

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้ 4-5 ปี ท่านได้สารภาพว่าวันแรก ๆ ท่านก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่พอครบ 7 วันแล้ว ก็ไม่นึกกลัวอีก ของบางอย่างเพื่อสวัสดิภาพของ ลูก ๆ แม้จะเสี่ยงท่านก็จำต้องกระทำ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นผลให้อาตมาเลิกกลัวเรื่องภูตผีปีศาจ ไม่เชื่อเรื่องศาลพระภูมิหรือศาลเจ้าเลย


เรื่องที่ 3 วิธีลงโทษ

เมื่อลูก ๆ ทำผิดแต่ละครั้ง ท่านไม่เคยละเว้นการลงโทษ ซึ่งส่วนมากก็ไม่แคล้วถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว แต่การเฆี่ยนเพียง 5 ทีของท่าน ช่างนานเสียเหลือเกินในความรู้สึกของอาตมา เพราะก่อนจะลงมือเฆี่ยน ท่านจะต้องแจกแจงความผิดให้ทราบเสียก่อนแล้วให้พูดทวนให้ได้ว่า ผิดเพราะอะไร จะขาดจะเกินสักหน่อย ก็ไม่ได้มิหนำซ้ำยังต้องตะโกนพูดให้เสียงดังฟังชัด

ถ้ายังไม่ถูกต้อง หรือยังไม่ครบถ้วน ท่านก็จะให้ พูดซ้ำใหม่แล้วจึงหวดไม้เรียวควับแรกลงไปที่ก้นอย่างไม่ยั้งมือเลย เลือดซิบ ๆ เจ็บถึงใจทุกที

แม้จะลงมือเฆี่ยนครั้งที่สองและครั้งต่อไป ท่านก็จะให้พูดทบทวนความผิดเช่นเดียวกัน เสียงต้องดังฟังชัดอย่างเดิม แต่เนื่องจากพูดไปร้องไห้ไปเสียงจึงเครือกระท่อนกระแท่น ท่านก็ไม่ยอมลดราวาศอก อาตมาต้องพยายามฝืนใจอย่างมาก

ดังนั้นกว่าการลงโทษจะครบถ้วนกระบวนความ ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ๆ

แต่เจ็บกายยังไม่ร้ายเท่าเจ็บที่ใจ เพราะเสียหน้า เนื่องจากถูกเฆี่ยนต่อหน้าพี่ ๆ บางวันถูกลงโทษถึง 2-3 ครั้ง เพราะความที่เกเรมาก

ยิ่งกว่านั้น ท่านยังมีวิธีเสริมความฉลาดให้ลูกอย่างไม่มีใครเหมือน ไม้เรียวที่จะใช้เฆี่ยนอาตมานั้น ท่านให้ไปหามาเอง ถ้าไม่ฉลาดในการเลือกไม้เรียวก็เจ็บตัวมาก เพราะไม้เรียว ใช้ตีครั้งแรกจะเจ็บมาก เพราะไม้ยังสดและแข็ง แต่เมื่อตีครั้งต่อไปจะเจ็บน้อยลงไปเพราะไม้เริ่มช้ำและค่อย ๆ หักไปทีละท่อน อาตมาจะต้องคำนวณให้ได้ว่า ไม้เรียวอันนั้นจะต้องมีขนาดพอเหมาะถึงขนาดที่พอตีครั้งสุดท้ายแล้ว ไม้เรียวต้องหักหมดพอดี เพราะถ้าหักหมดก่อน ท่านจะให้ไปหาไม้มาใหม่ แต่ถ้าเลือกไม้ใหญ่ไป ตี 5 ครั้ง ก็ยังไม่หัก เราก็จะต้องเจ็บมากเพราะไม้แข็ง ทำให้ต้องเจ็บหนักขึ้นอีก




เรื่องที่ 4 ฝึกให้ลูกเคารพกันตามลำดับอาวุโส

“ที่ไหนขาดความเคารพ ที่นั่นจะมีแต่ความแตกแยก”

อาตมาเป็นน้องชายคนสุดท้องมีพี่สาว 2 คน เมื่อเรียนชั้นประถมมักทะเลาะเบาะแว้งกับพี่สาวเป็นประจำ

เวลาโยมพ่อกลับจากทำงานมาเห็น ท่านไม่เคยสอบถามว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ใครผิดใครถูก แต่ท่านจะชี้หน้าให้อาตมาไปหักไม้เรียวแล้วมายืนกอดอกให้พี่สาวตีก่อน ในฐานะที่ไม่เคารพกันตามลำดับอาวุโส ถ้าครั้งใดก่อเรื่องกับพี่สาวไว้มาก เขาก็ตีไม่ยั้งต่อหน้าพ่อนี่แหละ ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเรียกกันในครอบครัวว่า “ตีเบิกความ” จากนั้นท่านจึงจะซักไซ้ไล่เลียงว่า ทะเลาะกันเรื่องอะไร

ถ้าสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าอาตมาผิดที่ไปอาละวาดพี่เขาก่อน โยมพ่อก็จะตีเอง โดยมีพี่สาวยืนยิ้มเยาะอยู่ข้าง ๆ ด้วย อยางนี้แหละมันเจ็บแสนเจ็บ

แต่ถ้าพี่เขาเป็นฝ่ายผิด ท่านก็จะตีพี่เอง เราเป็นน้องไม่เคยมีโอกาสตีกลับคืนเลย

เพราะเหตุที่ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็จะต้องถูกตีเบิกความก่อน ดังนั้นจึงไม่อยากมีเรื่องกับพี่ ๆ เขาอีก เพราะมันไม่คุ้ม มีแต่ขาดทุน และการที่ถูกบังคับให้ เรียกคำนำหน้าว่า “พี่” เสมอ ทำให้เกิดความเคารพกันตามลำดับอาวุโส ครั้นเติบโตขึ้นไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือถูกเหตุการณ์บีบคั้นอย่างไร ก็ทนได้ ไม่เดือดร้อนอะไร




เรื่องที่ 5 ความสามัคคี

“สามัคคี คือ พลัง” ใคร ๆ ก็รู้ แต่การฝึกให้เกิดความสามัคคีแม้แต่ในครอบครัว ก็มิใช่เรื่องง่าย ๆ ถ้าปล่อยให้เกิดการแตกความสามัคคีกันในครอบครัวขึ้นแล้ว ไม่ต้องสงสัยว่าในระดับชาติก็แตกแยกได้

เนื่องจากโยมพ่อเป็นชาวไร่ ท่านจึงฝึกความสามัคคี ให้พวกเราสามพี่น้อง ด้วยการให้ไปดายหญ้าด้วยกันบ้าง ไปขุดดินด้วยกันบ้างแต่ต้องให้เสร็จในวันนั้น โดยรู้กันเป็นนัยว่า ถ้าไม่เสร็จก็ไม่ได้กินข้าวเย็น เราจึงต้องช่วยกันจนเสร็จ ไม่กล้าหลีกเลี่ยง ถ้าคนใดคนหนึ่งเถลไถล ไม่ตั้งใจทำ บางครั้งกว่าจะเสร็จก็เกือบทุ่มหิวแทบตาย จึงต้องช่วยกันทำให้เกิดความสามัคคี


เรื่องที่ 6 การกินข้าวมื้อเย็นกับลูก

เด็ก ๆ นั้นเมื่อทำความผิดอะไรมา เช่น หนีโรงเรียน มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน แอบสูบบุหรี่ หรือขโมยสตางค์พ่อแม่ ในระยะ 2-3 ครั้งแรกจะมีพิรุธ แต่ถ้าผู้ใหญ่จับไม่ได้ถึง 3 ครั้ง พิรุธจะหมดเพราะเคยชินจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

ดังนั้น พ่อแม่ต้องพยายามเอาใจใส่ลูกให้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของลูก หากมีอะไรผิดปกติก็จะสังเกตได้ตั้งแต่ครั้งแรก ๆ จะได้แก้ไขทันท่วงที

ที่บ้านของอาตมา โยมแม่จะออกไปขายขนมตั้งแต่ ตี 4 ตี 5 โยมพ่อออกไปทำไร่ตั้งแต่อรุณรุ่ง ดังนั้นโอกาสที่จะได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ก็คือ เวลาอาหารมื้อเย็น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะไปทำผิดอะไรมา ท่านจะจับได้ทุกครั้ง เช่น หนีไปว่ายน้ำ ท่านก็จับได้ เพราะเห็นนัยน์ตาแดง ๆ ไปต่อยกันมา ก็จะมีรอยฟกช้ำดำเขียว แอบไปสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้ากลิ่นหรือร่องรอยพิรุธก็จะติดตัวมา ซึ่งร่องรอยเหล่านี้ ถ้าปล่อยให้ข้ามคืนไปแล้วจะจับไม่ได้เลย เมื่อท่านจับได้แล้ว ท่านก็จะลงโทษก่อนอาหารนั่นแหละ

ดังนั้น ถ้าวันไหนมีใครถูกตี วันนั้นคนทั้งบ้านจะกินข้าวไม่ค่อยลง ถ้าวันไหนไม่มีใครถูกตี ก็จะสดชื่นกันทั้งบ้าน

ประเพณีการกินข้าวมื้อเย็น จึงเป็นมนต์ขลัง หรือวิถีทางอันศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่งที่ทำให้ลูก ๆ ประพฤติตนอยู่กับร่องกับรอย




พระธรรมเทศนาโดย...หลวงพ่อทัตตชีโว
จากหนังสือกว่าจะรู้ว่าพ่อรัก


ท้ายที่สุดนี้ขอเรียนเชิญยอดกัลยาณมิตรลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ได้ออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรเชิญชวนชายแมนแมนผู้มีบุญ มาบวชเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา และบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวในวาระวันคล้ายวันเกิด 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ครบ 79 ปีกันนะคะ
ซึ่งกำหนดการด้านล่างนี้ เป็นวันเข้าวัดจนถึงวันสิ้นสุดโครงการ


ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู
ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี