ถ้าเราอยากพัฒนาตัวเองได้เร็ว วิธีที่รวดเร็วและง่ายที่สุดก็คือ เราต้องเข้าไปคบกับคนที่เราอยากจะพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบนั้น เพราะจะทำให้เราซึมซับนิสัยดี ๆ แนวคิดดี ๆ ของเขามาสู่ตัวเราได้ง่าย
ถ้าไม่เชื่อให้ลองสังเกตดูว่า ตัวเราจะมีชีวิตและนิสัยเหมือนค่าเฉลี่ยของคนที่เราคบด้วย
5 คน เพราะคนเราคบกันตามธาตุ คือ
ต้องมีบางอย่างที่เหมือนหรือเกื้อกูลกันถึงจะคบกันได้ หรือดูง่าย ๆ
อย่างคนในครอบครัวเราก็จะมีนิสัยบางอย่างที่เหมือนกันเป็นเอกลักษณ์ประจำครอบครัว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ชัดเจนในเรื่องของการคบคน อีกทั้งยังทรงให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกสุดในธรรมะหมวดมงคลชีวิต
คือ
1.ไม่คบคนพาล 2.ให้คบบัณฑิต...
วารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤษภาคมพ.ศ.2562
มงคลที่1 คือ ไม่คบคนพาล
คนพาล คือใคร ?
คนพาล คือคนที่มีใจขุ่นมัวเป็นปกติ เป็นผลให้มีความเห็นผิด
ยึดถือค่านิยมผิดๆ และมีวินิจฉัยเสีย คือไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรควร
อะไรไม่ควร เช่น บัณฑิตเห็นว่า “เหล้า” เป็นของไม่ดี ทำให้ขาดสติ
นำความเสื่อมมาให้นานัปการ แต่คนพาลกลับเห็นว่า “เหล้า” เป็นของประเสริฐ
เป็นเครื่องกระชับมิตร หรือบัณฑิตเห็นว่า “การเล่นไพ่” เป็นอบายมุข เป็นปากทาง หรือเป็นสัญลักษณ์แห่งความฉิบหาย
แต่คนพาลกลับเห็นว่า “การเล่นไพ่” เป็นสิ่งดีทำให้เพลิดเพลิน
เป็นการฝึกสมองซ้อมวิชาคำนวณ ดังนี้เป็นต้น
คนพาลมีลักษณะเป็นคนเหมือนกับเรา
คือมีร่างกายประกอบด้วยเลือดเนื้อ เช่นเดียวกับเรา
และอาจมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเราก็ได้ เช่น เป็นญาติพี่น้อง สามีภรรยา
ครูอาจารย์ ฯลฯ อาจเป็นผู้มีการศึกษาสูง
อาจมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง อาจมีสมัครพรรคพวกมาก ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร
มีความสัมพันธ์กับเราหรือไม่ ขึ้นชื่อว่าพาลแล้ว
ถึงแม้จะมีความรู้มีความสามารถ
ก็ไม่ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ถูกที่ควร เพราะเขาแสลงต่อความดี
เหมือนคนไข้แสลงต่อน้ำเย็น
ลักษณะของคนพาล
เนื่องจากคนพาลมีใจขุ่นมัวอยู่เสมอ
ทำให้ไม่สามารถควบคุมใจให้คิดไปในทางที่ถูกต้องได้
คนพาลจึงมีลักษณะวิปริตผิดจากคนทั้งหลาย 3 ประการ คือ
1.ชอบคิดชั่วเป็นปกติ ได้แก่ คิดละโมบอยากได้ในทางทุจริต คิดพยาบาทปองร้าย
คิดเห็นผิดเป็นชอบ ฯลฯ
2.ชอบพูดชั่วเป็นปกติ ได้แก่ พูดปด พูดคำหยาบ พูดส่อเสียดยุยง พูดเพ้อเจ้อ
ฯลฯ
3.ชอบทำชั่วเป็นปกติ ได้แก่ เกะกะเกเร กินเหล้าเมายา ชอบล้างผลาญชีวิตคน
และสัตว์ ลักทรัพย์ ฉุดคร่าอนาจาร ฯลฯ
โทษของความเป็นคนพาล
1.มีความเห็นผิด ก่อทุกข์ให้ตนเอง
2.เสียชื่อเสียง ถูกติฉินนินทา
3.ไม่มีคนนับถือ ถูกเกลียดชัง
4.หมดสิริมงคล หมดสง่าราศี
5.ความชั่วเภทภัยทั้งหลาย จะไหลเข้ามาหาตัว
6.ทำลายประโยชน์ของตนเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า
7.ทำลายวงศ์ตระกูลของตนเอง
8.เมื่อละโลกไปแล้วมีอบายภูมิเป็นที่ไป
การไม่คบคนพาล คือการไม่ยอมมีพฤติกรรมสัมพันธ์ใดๆ ดังกล่าว
ข้างต้นกับคนพาล ถ้าเรายังคบคนพาลอยู่ ไม่ว่าจะในระดับไหนก็ตาม
รีบถอนตัวเสียโดยด่วน อย่าประมาท รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม มิฉะนั้นจะพลาด
ติดเชื้อพาลโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นพาลตามไปด้วย
โบราณท่านให้คติเตือนไว้ว่า
ห่างสุนัขให้ห่างศอก
ห่างวอกให้ห่างวา
ห่างพาลาให้ห่างหมื่นโยชน์แสนโยชน์
โทษของการคบคนพาล
1.ย่อมถูกชักนำไปในทางที่ผิด
2.ย่อมเกิดความหายนะ
การงานล้มเหลว
3.ย่อมถูกมองในแง่ร้าย
ไม่ได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วไป
4.ย่อมอึดอัดใจ
เพราะคนพาลแม้เราพูดดีๆ ด้วยก็โกรธ
5.หมู่คณะย่อมแตกความสามัคคี
เพราะการยุยงและไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย
6.ภัยอันตรายต่างๆ
ย่อมไหลเข้ามาหาตัว
7.เมื่อละโลกแล้ว
ย่อมมีอบายภูมิเป็นที่ไป รายละเอียดเพิ่มเติม
มงคลที่ 2 คบบัณฑิต
บัณฑิต คือใคร ?
บัณฑิต คือคนที่มีใจผ่องใสอยู่เป็นปกติ ทำให้มีความเห็นถูก
ยึดถือค่านิยมที่ถูกต้อง สามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
1.เป็นผู้รู้ดี คือรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว
2.เป็นผู้รู้ถูก คือรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
3.เป็นผู้รู้ชอบ คือรู้ว่าอะไรบุญอะไรบาป
บัณฑิต อาจเป็นใครก็ได้ เช่น อาจเป็นผู้อ่านหนังสือไม่ออก
อาจเป็นชาวไร่ชาวนา อาจเป็นผู้มีการศึกษาสูง อาจเป็นญาติของเรา ฯลฯ แต่ไม่ว่า
จะเป็นอะไรก็ตาม
จะต้องเป็นผู้มีจิตใจผ่องใส
และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
คือเป็นคนดีนั่นเอง
คนทั่วไปมักเข้าใจว่า ผู้ที่เรียนหนังสือจนได้รับปริญญานั้น คือบัณฑิต
ความจริงแล้วนั่นเป็นเพียงบัณฑิตทางโลกเท่านั้น ยังไม่ใช่บัณฑิตที่แท้จริง
เพราะผู้ที่ได้รับปริญญาแล้วถ้าความประพฤติไม่ดีอาจไปทำผิดติดคุกติดตะรางได้
แต่บัณฑิตที่แท้จริงย่อมเป็นผู้ตั้งใจละชั่ว ประพฤติชอบ ประกอบแต่ความดี
ความถูกต้อง ความสุจริต สามารถป้องกันตนให้พ้นจากคุกจากตะราง แม้กระทั่งจากนรกได้
“บัณฑิตมิใช่ผู้มีเพียงปริญญา
แต่คือผู้อุดมด้วยศีล
สมาธิ ปัญญา”
ลักษณะของบัณฑิต
เนื่องจากบัณฑิตเป็นผู้มีจิตใจผ่องใส มีความเห็นถูก ดำเนินชีวิตอยู่ด้วย
ปัญญา ฉลาดในการสอดส่องหาเหตุผล จึงมีลักษณะพิเศษสูงกว่าคนทั้งหลาย 3 ประการ คือ
1.ชอบคิดดีเป็นปกติ ได้แก่ คิดให้ทาน
คิดให้อภัยอยู่เสมอ ไม่ผูกพยาบาท คิดเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เช่น
เห็นว่าบุญบาปมีจริง พ่อแม่
มีพระคุณต่อเราจริง เป็นต้น
2.ชอบพูดดีเป็นปกติ ได้แก่ พูดคำจริง
พูดคำสมานไมตรี พูดคำ มีประโยชน์ พูดด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา และพูดถูกต้องตามกาลเทศะ
3.ชอบทำดีเป็นปกติ ได้แก่ มีเมตตากรุณา
ประกอบสัมมาอาชีวะ ทำบุญให้ทานเป็นปกติ รักษาศีล ทำสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
จะเห็นว่า คนที่เราเลือกคบมีอิทธิพลต่อชีวิตเราสูงถึงขนาดจะนำพาชีวิตเราให้ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ เพราะถ้าเราคบกับคนชอบนินทา เราก็จะชอบนินทา ถ้าเราคบกันคนขี้เกียจ วัน ๆ เราก็จะเอาแต่ขี้เกียจ เพราะคนที่เราคบยังขี้เกียจได้เลย
ฉะนั้น ถ้าเราอยากจะพัฒนาตัวเองในด้านไหน เราต้องไปคบกับคนแบบนั้น คือ
ถ้าอยากขยัน เราก็ต้องไปคบกันคนขยัน ถ้าอยากนั่งสมาธิเยอะ ๆ
เราก็ต้องคบกับคนชอบนั่งสมาธิ ถ้าอยากมีความสุข ก็ต้องไปคบกับคนมีความสุข
เกิดมาทั้งทีไม่ใช่จะคบใครก็ได้
เพราะคนที่เราคบมีอิทธิพลเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีหรือเลวได้...
แล้วทุกวันนี้คุณคบกับคนแบบไหน
วารสารอยู่ในบุญประจำเดือนพฤษภาคมพุทธศักราช 2562
กราบขอบพระคุณ :
วารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤษภาคมพุทธศักราช 2562
วารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤษภาคมพุทธศักราช 2562